จากประสบการณ์ตรง "หมอญี่ปุ่น" เป็นมะเร็งไต เผยเคล็ดลับง่าย ๆ ป้องกันเซลล์ร้าย 15 ปีที่ไม่กลับมาเป็นมะเร็งอีก
เมื่ออายุได้ 51 ปี คุณหมอทากาชิ ฟุนาโตะ ผู้อำนวยการคลินิกฟุนาโตะ จังหวัดกิฟุ ประเทศญี่ปุ่น ต้องเผชิญกับข่าวช็อกว่าเป็นมะเร็งไต เช่นเดียวกับผู้ป่วยนับล้านคนทั่วโลก เขาเคยรู้ซึ้งถึงความกลัวระหว่างความเป็นและความตาย แต่หลังผ่านไป 15 ปี เขาไม่เพียงรอดชีวิต หากยังมีสุขภาพแข็งแรง กระฉับกระเฉง และเต็มเปี่ยมด้วยพลัง ซึ่งเขาเรียกสิ่งนี้ว่า “ปาฏิหาริย์แห่งการใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง”
ย้อนกลับไปในปี 2007 ระหว่างการตรวจสุขภาพประจำปี คุณหมอทากาชิก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งไต ทั้งที่ไม่มีอาการใด ๆ ให้สงสัย และไม่มีประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคนี้เลย ข่าวร้ายครั้งนั้นทำให้เขาต้องพักงานชั่วคราว เข้ารับการผ่าตัด และเริ่มต้นการรักษาตามแนวทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเคร่งครัด
สิ่งที่สร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง คือการที่คุณหมอทากาชิเลือกลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองหลังการผ่าตัด แทนที่จะรอพึ่งโชคชะตาหรือฝากชีวิตไว้กับยาเพียงอย่างเดียว เขามองโรคภัยเป็นโอกาสในการกลับมาพูดคุยกับร่างกาย และค่อย ๆ สร้างวิถีชีวิตใหม่ที่มีหลักการ ยั่งยืน และสมดุลยิ่งกว่าเดิม
ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เขาไม่เพียงไม่กลับมาเป็นซ้ำ แต่ยังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ป่วยทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก ด้วย 5 หลักการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ยั่งยืน ได้ผลจริง
หลักการที่ 1: ปรับพฤติกรรมการกินอย่างจริงจัง – งดน้ำตาล ลดเนื้อแดง กินแต่พอดี
คุณหมอทากาชิยอมรับตรงไปตรงมาว่า ในอดีตตารางงานที่แน่นขนัดทำให้เขาพึ่งอาหารสำเร็จรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และกินไม่เป็นเวลา พฤติกรรมเหล่านี้สะสมจนทำให้ระบบเผาผลาญแปรปรวน เกิดการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย และกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งโดยไม่รู้ตัว
หลังการผ่าตัด คุณหมอทากาชิได้ทบทวนรูปแบบการกินของตัวเองอย่างจริงจัง และวางหลักไว้ชัดเจน ดังนี้
-
ลดหวาน ลดเนื้อแดง งดของแปรรูปให้มากที่สุด โดยเฉพาะอาหารที่มีสารเติมแต่งหรือไนเตรตสูง เช่น ไส้กรอก เบคอน ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงก่อมะเร็ง
-
กินอาหารท้องถิ่นตามฤดูกาล นอกจากจะได้คุณค่าทางโภชนาการตามธรรมชาติแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ดียิ่งขึ้น
-
กินแค่พออิ่ม 80% หลักการนี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่ชาวโอกินาวา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีผู้สูงอายุอายุยืนมากที่สุดในญี่ปุ่น
นอกจากนี้ คุณหมอยังเลือกวิธีการกินแบบ จำกัดเวลา – งดอาหาร 16 ชั่วโมง กินในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายมีเวลาย่อยสมบูรณ์ และกระตุ้นกระบวนการกำจัดเซลล์เสีย หรือ Autophagy ที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายจากภายใน
หลักการที่ 2: เข้านอนเร็ว นอนลึก – เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในยามค่ำคืน
การนอนหลับไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างเข้มข้นที่สุด คุณหมอทากาชิอธิบายว่า “ช่วงเวลา 4 ทุ่มถึงตี 2 คือ ช่วงเวลาทองของการฟื้นฟูเซลล์ในร่างกาย และเป็นช่วงที่เซลล์ลิมโฟไซต์ นักรบต้านมะเร็ง ทำงานได้ดีที่สุด”
คำแนะนำของเขาคือ:
-
ควรเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม
-
นอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง
-
หลีกเลี่ยงการนอนหลังเที่ยงคืน เพราะหลังจากนั้น ระดับฮอร์โมนเมลาโทนิน which มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง จะเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว
คุณหมอทากาชิยังงดใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในห้องนอนอย่างสิ้นเชิง และสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบ มืดสนิท เพื่อส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง
หลักการที่ 3: ขยับเบา ๆ ทุกวัน – ยาดีจากธรรมชาติของระบบภูมิคุ้มกัน
หลังผ่าตัด เขาเริ่มต้นจากการเดินช้า ๆ วันละอย่างน้อย 3,000 ก้าว แล้วค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับเขา การออกกำลังกายไม่ใช่เพื่อผอม แต่เพื่อ:
-
เพิ่มอุณหภูมิร่างกาย กระตุ้นเอนไซม์ป้องกันโรคและเซลล์ภูมิคุ้มกันให้ทำงานดีขึ้น
-
เพิ่มออกซิเจนในเลือด ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์ร้าย ซึ่งมักเติบโตดีในสภาพแวดล้อมที่ขาดออกซิเจน
-
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดแหล่งพลังงานของเซลล์มะเร็ง ทำให้มันอ่อนแอลง
นอกจากการเดิน คุณหมอทากาชิยังแนะนำให้ผู้ป่วย เสริมด้วยการออกกำลังกายพื้นฐาน เช่น สควอท ยกแขน และฝึกหายใจลึกแบบใช้ท้อง เพื่อรักษาความแข็งแรงของร่างกายโดยรวม
หลักการที่ 4: รักษาความอบอุ่นของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณท้องและขา
สิ่งเล็ก ๆ ที่มักถูกมองข้าม แต่กลับส่งผลลึกซึ้งต่อระบบภูมิคุ้มกัน นั่นคือ อุณหภูมิของร่างกาย
คุณหมอทากาชิอธิบายว่า “เซลล์มะเร็งชอบสภาพแวดล้อมที่เย็นและเป็นกรด การรักษาความอบอุ่นช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ส่งเสริมการสร้างโปรตีนซ่อมแซมเซลล์ (heat shock proteins) จึงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานตามธรรมชาติของร่างกาย”
โดยเฉพาะในฤดูหนาว เขาจะรักษาอุณหภูมิบริเวณหน้าท้อง เอว และขา ด้วยการใส่เสื้อผ้าให้อบอุ่น ใช้ถุงน้ำร้อน หรือการนวด เพราะจุดเหล่านี้เป็นบริเวณที่มีหลอดเลือดและระบบน้ำเหลืองจำนวนมาก หากปล่อยให้เย็น อาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลได้ง่าย
หลักการที่ 5: ยิ้มให้ตัวเองทุกวัน แม้ไม่มีเหตุผล
แม้จะเป็นแพทย์ แต่คุณหมอทากาชิก็เคยเผชิญกับความเครียดและความกลัวอย่างหนักหลังถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ทว่าแทนที่จะจมอยู่กับความสิ้นหวัง เขาเลือกที่จะสร้างความสุขด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากการยิ้มทุกเช้า ฝึกหายใจลึก และคิดบวกอยู่เสมอ
เสียงหัวเราะมีพลังมากกว่าที่คิด เพราะมันช่วย:
-
ลดระดับฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล)
-
กระตุ้นการหลั่งเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารบรรเทาความเจ็บปวดตามธรรมชาติ
-
ส่งเสริมให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
คุณหมอมักหยอกล้อกับคนไข้ว่า “ถ้าวันนี้ยังไม่เจอเรื่องให้หัวเราะ... ก็ลองหัวเราะดูก่อน แล้วเดี๋ยวเหตุผลจะตามมาเอง”
เหนือสิ่งอื่นใด เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ชีวิตของเราไม่ได้อยู่ในมือหมอเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ในวิธีที่เราใช้ชีวิตทุกวัน
“มะเร็งไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือสัญญาณเตือน ถ้าเราไม่มองว่าโรคนี้คือจุดจบ แต่คือจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตใหม่อย่างมีสุขภาพดี ร่างกายก็จะฟื้นกลับมาแข็งแรงได้ยิ่งกว่าที่เคย”
กว่า 15 ปีผ่านมา เขายังคงยึดมั่นใน 5 หลักชีวิต กินดี นอนเร็ว ขยับทุกวัน รักษาความอบอุ่น และยิ้มให้ตัวเองเสมอ
นี่ไม่ใช่วิธีรักษามะเร็งแบบเร่งด่วน แต่คือวิถีชีวิตอย่างชาญฉลาด ที่ช่วยป้องกันโรค และรักษาภูมิคุ้มกันให้อยู่ในสภาพดีที่สุดเสมอ