5 สัญญาณเตือน "หัวใจขาดเลือด" ภัยเงียบคร่าชีวิตพระเอกดัง ไอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร

1 week ago 7
❤️ ARTICLE AD BOX ❤️

5 สัญญาณเตือน "หัวใจขาดเลือด" ภัยเงียบคร่าชีวิตพระเอกดัง ไอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร คนกลุ่มไหนเสี่ยงบ้าง

วงการบันเทิงไทยต้องสูญเสียนักแสดงระดับตำนาน “เอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร” พระเอกชื่อดังแห่งยุค 80 เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยวัย 72 ปี ที่จังหวัดนครราชสีมา หลังมีอาการโรคหัวใจกำเริบเฉียบพลันในช่วงกลางดึก 

โดยช่วงตี 2 เกิดอาการ แน่นหน้าอกอย่างรุนแรง คาดว่าหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันจนช็อกหมดสติ เพื่อนที่อยู่ด้วยรีบแจ้งเจ้าหน้าที่โรงแรม ก่อนแจ้งกู้ชีพโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาให้เร่งเข้าช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่เร่ง ปั๊มหัวใจช่วยชีวิต และนำส่งโรงพยาบาลนครราชสีมาอย่างเร่งด่วน

แพทย์ได้นำตัวเข้าห้อง CCU ศูนย์ดูแลผู้ป่วยวิกฤตโรคหัวใจและหลอดเลือด พยายามใช้อุปกรณ์กระตุ้นหัวใจช่วยอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ ในที่สุด ไพโรจน์ สังวริบุตร ได้จากไปอย่างสงบในเวลาประมาณ 03.00 น. 

 เอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร

รู้จักโรคหัวใจขาดเลือด

หัวใจ เป็นอวัยวะสำคัญที่เป็นเหมือนศูนย์กลางควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายให้ทำงานต่อไปได้ หากเกิดความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งกับหัวใจ ร่างกายมักจะส่งสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติบางอย่างโดยเฉพาะโรคที่อันตรายถึงชีวิต อย่างโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งประเทศไทยพบว่า 45% ของการเสียชีวิตเฉียบพลันเกิดจากโรคหัวใจขาดเลือด ดังนั้นเราควรต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เพราะการทราบถึงสัญญาณเตือนดังกล่าว จะช่วยให้รักษาชีวิตอย่างทันท่วงที

เกิดขึ้นได้ทั้งขณะทำงาน เล่นกีฬา หรือขณะพักผ่อน เนื่องจากมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและมีรอยปริของผนังหลอดเลือด ทำให้มีลิ่มเลือดและไขมันมาเกาะที่ผนังและก่อตัวเป็นตะกรัน เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตเฉียบพลันได้

สาเหตุของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

เป็นสภาวะของหลอดเลือดหัวใจที่เสื่อมสภาพหรือแข็งตัวแล้วเกิดมีการฉีกขาด หรือปริแตกที่ด้านในของผนังหลอดเลือด เกล็ดเลือดจะเกาะกลุ่มอย่างรวดเร็วบริเวณที่มีการปริแตกหรือฉีกขาด ซึ่งจะมีการกระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือดอย่างรวดเร็วในบริเวณดังกล่าว หากลิ่มเลือดอุดกั้นบางส่วนทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกไม่คงที่แต่ยังไม่มีกล้ามเนื้อหัวใจตาย กรณีลิ่มเลือดเกิดการอุดตันโดยสมบูรณ์จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

สาเหตุโรคหัวใจขาดเลือดในปัจจุบันพบว่า มักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่จัด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป พฤติกรรมการรับประทานอาหารจนทำให้มีไขมันในเส้นเลือดมากผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน เป็นต้น มักพบในเพศชายที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป และในเพศหญิงที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในครอบครัวที่เคยมีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ รวมไปถึงสาเหตุโรคกล้ามเนื้อหัวใจอย่างโรคทางพันธุกรรมต่างๆ ที่ปัจจุบันทำให้ผู้ป่วยมีอายุน้อยลง

5 อาการและสัญญาณเตือนของโรคหัวใจขาดเลือด

  1. อาการเจ็บแน่นหน้าอกเหมือนถูกบีบรัด หรือกดทับ

  2. อาการเจ็บหน้าอกปวดร้าวไปกราม สะบักหลัง แขนซ้าย หัวไหล่

  3. เหงื่อออก จะเป็นลม หน้าซีด

  4. อาการใจสั่น หอบเหนื่อย คลื่นไส้

  5. จุกบริเวณคอหอย ซึ่งบางรายอาจมีอาการจุกบริเวณใต้ลิ้นปี่

โดยในหลายๆ ครั้ง อาการเหล่านี้ แทบจะแยกจากโรคอื่นๆ ซึ่งอาจมีอาการคล้ายกันได้ลำบาก เช่น อาจทำให้สับสนกับโรคกรดไหลย้อน หรือกระดูกอ่อนซี่โครงอักเสบได้ ดังนั้น จึงไม่ควรละเลยหรือนิ่งนอนใจหากมีอาการดังกล่าว

ผู้สูงอายุหรือผู้มีปัจจัยเสี่ยงถือเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังและคอยสังเกตอาการของตัวเองเป็นพิเศษ เมื่อเกิดภาวะเหล่านี้ผู้ป่วยต้องรีบเดินทางมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยหาแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งจากข้อมูลของไทยพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มาเข้ารับการรักษาล่าช้าทำให้เสียชีวิตหรือมีภาวะหัวใจวายตามมา

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

     ปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

     1. เพศ เพศชายมีความเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง

     2. อายุ เพศชายที่มีอายุมากกว่า 45 ปี และเพศหญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปี มีโอกาสเสี่ยงเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

     3. พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัว (first degree relative) หมายถึง พ่อแม่ พี่น้อง ลูก เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันก่อนวัยอันควร (เพศชายอายุน้อยกว่า 55 ปี เพศหญิงอายุน้อยกว่า 65 ปี)

     ปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้

     1. ความดันโลหิตสูง ความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคตา หรือโรคไต

     2. ระดับไขมันในเลือดสูง ไขมันจะจับที่ผนังด้านในหลอดเลือดหัวใจเกิดการรวมตัวเป็นแผ่นหนามากขึ้น ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

     3. การสูบบุหรี่ สารนิโคตินในบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง เกิดความดันโลหิตสูง

     4. โรคเบาหวาน ปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดหลอดเลือดแดงตีบแข็งได้

     5. อ้วนลงพุง เนื่องจากคนที่อ้วนลงพุงส่วนใหญ่พบว่ามีระดับไขมันในหลอดเลือดสูง โดยพิจารณาได้จากขนาดของเส้นรอบเอว ผู้ชายไม่ควรเกิน 90 เซนติเมตร และผู้หญิงไม่เกิน 80 เซนติเมตร

     6. ขาดการออกกำลังกาย จะทำให้การไหลเวียนเลือดไม่สะดวก การเผาผลาญพลังงานน้อย และเกิดการสะสมของไขมันได้

     7. ความเครียด ทำให้ร่างกายเกิด การเผาผลาญไขมันในหลอดเลือดผิดปกติ ทำให้ระดับไขมันในหลอดเลือดสูงได้

การตรวจวินิจฉัยและการรักษา

เมื่อมาพบแพทย์ แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ซึ่งแนวทางการส่งตรวจต่างๆ จะต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยส่วนใหญ่ แพทย์จะทำการส่งตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อดูว่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจนั้น แสดงลักษณะของการมีหัวใจขาดเลือดหรือไม่ และบางรายจะส่งตรวจเลือด การตรวจหัวใจด้วยเครื่องเสียงสะท้อนความถี่สูง หรือการใส่สายสวนหลอดเลือดหัวใจเพื่อหาว่ามีการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจหรือไม่ หรือต้องได้รับการสวนหัวใจอย่างเร่งด่วนหรือไม่

ด้านการรักษาสามารถทำได้ด้วยวิธีการใช้ยา การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน และ การผ่าตัดบายพาสหัวใจ ซึ่งจะพิจารณาตามความเหมาะสม และความรุนแรงของอาการ รวมทั้งดุลยพินิจของแพทย์ร่วมด้วย

อย่างไรก็ตาม เราสามารถห่างไกลจากโรคหัวใจขาดเลือดได้อย่างง่ายๆ ด้วยการหลีกหนีจากกลุ่มผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ด้วยการหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน หรืออย่างน้อย 5 ครั้ง/สัปดาห์ รับประทานอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลอย่างเหมาะสม ระวังควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิดโรคอ้วน ลดหรือเลี่ยงการสูบบุหรี่ และสังสรรค์แต่พอดี รวมทั้งหมั่นบริหารอารมณ์ให้แจ่มใส ห่างไกลความเครียด ที่สำคัญการตรวจสุขภาพและตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำทุกปี

Read Entire Article