6 พฤติกรรมการล้างจานที่หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่กลับทำให้จานชามยิ่งล้างยิ่งสกปรก ครอบครัวเสี่ยงกินสารพิษทุกวัน สุดท้ายอาจนำไปสู่มะเร็ง
ล้างจานทุกวันแต่เผลอทำผิดพลาดเล็ก ๆ เหล่านี้ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึง
การล้างจานด้วยน้ำสะอาดและน้ำยาล้างจานไม่ได้หมายความว่าจานจะสะอาดเสมอไป หากคุณมีพฤติกรรมบางอย่างขณะล้างจานโดยไม่รู้ตัว ควรเลิกทันที เพราะอาจทำให้จานยิ่งล้างยิ่งสกปรก และเสี่ยงทำให้คนในบ้านเจ็บป่วยได้
-
ไม่ล้างจานทันทีหลังมื้ออาหาร
หลายคนมักไม่ล้างจานทันทีหลังรับประทานอาหาร แต่เลือกที่จะนำจานชามที่เลอะเทอะไปแช่ในอ่างล้าง แล้วใส่น้ำยาล้างจานลงไปก่อนจะทิ้งไว้ บางคนแช่ไว้ไม่กี่ชั่วโมง บางคนปล่อยค้างคืนจนถึงวันรุ่งขึ้นจึงล้าง
ความจริงแล้วการแช่จานชามหรือหม้อที่สกปรกไว้ในน้ำเป็นเวลานาน เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง คราบมัน เศษอาหาร และสิ่งสกปรกต่าง ๆ จะผสมกันและกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย ยิ่งแช่นาน แบคทีเรียก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมาก บางชนิดสามารถอยู่ได้นานถึง 4 วันบนพื้นผิวที่ดูสะอาด และยิ่งนานกว่านั้นในสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อน เช่น เชื้อ E. coli และ Salmonella
มีข้อมูลระบุว่า หากแช่จานชามพร้อมเศษอาหารในน้ำอุ่น ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง แบคทีเรียจะเพิ่มขึ้นถึง 400 เท่า และภายใน 4 ชั่วโมง จะพุ่งสูงถึง 7–10 เท่า
ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือล้างเศษอาหารออกก่อน แล้วหากจำเป็นต้องแช่ ควรแช่ไม่เกิน 15–30 นาที โดยเฉพาะกับจานชามหรือหม้อที่มีคราบฝังแน่น
- บริษัทดังมาบอกเอง ฟองน้ำด้านสีเหลือง ไม่ได้มีไว้ล้างจาน เผยวัตถุประสงค์ที่แท้จริง
- เลิกได้เลิก! 5 วิธีใช้ "ฟองน้ำล้างจาน" แบบผิด ๆ ที่ควรหยุดทันที รู้สาเหตุแล้วขนลุก
- ผู้เชี่ยวชาญมาเฉลย ควรเปลี่ยน "ฟองน้ำล้างจาน" เมื่อไหร่? ถึงจะเหมาะที่สุด
-
วางจานชามซ้อนกันหลังล้างเสร็จ
หลังจากล้างจานชามเสร็จ ควรจัดเรียงให้ตั้งตรง มีช่องว่างให้อากาศถ่ายเท เพื่อให้แห้งเร็วและลดความชื้น แต่หลายคนกลับวางจานชามซ้อนทับกันในแนวตั้งทันทีหลังล้าง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่อันตราย
จากข้อมูลทดลองพบว่า การวางจานชามที่ล้างแล้วซ้อนกันทำให้แบคทีเรียเพิ่มขึ้นมากถึง 70 เท่า นอกจากนี้ ความชื้นและอุณหภูมิที่ยังตกค้างบนจานชาม ซึ่งไม่ได้รับการระบายอากาศเพียงพอ จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย เช่น E. coli ที่อาจก่อให้เกิดอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร และเสี่ยงมากในเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ
หากทำเป็นนิสัยในระยะยาว ยังอาจนำไปสู่การเกิดเชื้อรา หากปนเปื้อนในอาหารก็อาจก่อโรคร้ายแรง และเสี่ยงถึงขั้นเป็นมะเร็งได้
-
ใช้ผ้าเช็ดจานเก่าเกินไป
การใช้ผ้านุ่มเช็ดจานให้แห้งก่อนเก็บเป็นเรื่องปกติ แต่หากผ้าที่ใช้มีสภาพเก่า เปื่อย หรือไม่ค่อยได้รับการซักทำความสะอาด ก็อาจกลายเป็นอันตรายโดยไม่รู้ตัว
ผ้าเช็ดที่ชื้นและไม่ได้ซักบ่อยจะกลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและเชื้อรา ทุกครั้งที่คุณใช้ผ้าเหล่านั้นเช็ดจาน แบคทีเรียอาจปนเปื้อนลงบนภาชนะและเข้าสู่ร่างกายโดยตรง
เชื้อราบางชนิดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยเข้าสู่ร่างกายผ่านอาหารและสร้างความเสียหายต่อระบบทางเดินอาหาร
ทางที่ดีควรเปลี่ยนผ้าเช็ดจานเป็นประจำ และซักให้สะอาดอยู่เสมอ
-
ล้างจานด้วยน้ำสะอาดในกะละมังเพียงครั้งเดียว
บางคนเลือกใช้น้ำในกะละมังเดียวล้างจานทั้งหมด จากนั้นเทน้ำทิ้งแล้วเติมน้ำสะอาดใหม่เพื่อล้างอีกครั้ง ฟังดูเหมือนเป็นวิธีที่สะอาดและประหยัดน้ำ แต่จริง ๆ แล้วกลับไม่ถูกสุขลักษณะเท่าที่คิด
น้ำที่ใช้ล้างซ้ำอาจยังมีคราบน้ำยาล้างจาน เศษอาหาร หรือคราบมันตกค้าง ซึ่งล้างออกได้ไม่หมด และหากขอบกะละมังยังมีคราบมันติดอยู่ ก็จะยิ่งทำให้จานชามไม่สะอาดอย่างแท้จริง
ทางที่ดีที่สุดคือ ควรล้างจานด้วยน้ำไหลหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสะอาดและปลอดภัยจริง ๆ
-
ผสมน้ำยาล้างจานให้เจือจาง
หลายคนมักผสมน้ำลงในน้ำยาล้างจานเพื่อประหยัดหรือให้เกิดฟองมากขึ้น แต่ความจริงแล้ว นี่เป็นพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
เมื่อน้ำยาล้างจานถูกเจือจาง ประสิทธิภาพในการทำความสะอาดจะลดลง ล้างคราบมันและสิ่งสกปรกได้ไม่หมด ส่งผลให้จานชามดูเหมือนสะอาดแต่ยังมีสิ่งตกค้างอยู่
บางคนถึงขั้นเติมน้ำลงไปในขวดน้ำยาล้างจานโดยตรง ซึ่งหากเปิดฝาทิ้งไว้ แบคทีเรียและเชื้อราจะเจริญเติบโตได้ง่ายในสภาพแวดล้อมที่ชื้น ทำให้เกิดการปนเปื้อน และส่งผลเสียต่อสุขภาพเมื่อใช้น้ำยานั้นล้างจานต่อไป
เพื่อความปลอดภัย ควรใช้น้ำยาล้างจานในปริมาณที่เหมาะสมโดยไม่ต้องเจือจาง และปิดฝาขวดให้สนิทหลังใช้งานทุกครั้ง
-
ฆ่าเชื้อจานชามด้วยการราดน้ำเดือด
หลายคนเชื่อว่าการต้มน้ำให้เดือดแล้วราดลงบนจานชามจะช่วยฆ่าเชื้อได้ดี แต่ความจริงแล้ววิธีนี้กลับเปลืองแรงโดยแทบไม่ได้ผลเท่าที่คิด
แม้น้ำเดือดจะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้มากกว่า 90% แต่การราดน้ำเดือดหรือแค่ลวกผ่านน้ำร้อนเพียงครู่เดียว ไม่สามารถทำลายเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากผลการทดลองพบว่า การลวกจานในน้ำเดือดช่วงสั้น ๆ ลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียได้ไม่ถึง 10%
ในทางกลับกัน การต้มจานชามในหม้อน้ำเดือดนาน 10 นาที จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ถึง 90% และหลังจากต้มเสร็จ ควรวางจานชามในที่แห้ง อากาศถ่ายเท รอให้แห้งสนิทก่อนเก็บ เพื่อป้องกันความชื้นสะสมที่อาจทำให้เกิดเชื้อราและแบคทีเรียในภายหลัง