Google ได้ออกมาประกาศปรับปรุงครั้งใหญ่ให้กับเบราว์เซอร์ Chrome โดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพในการใช้งาน การอัปเดตใหม่นี้ช่วยให้ Chrome ทำงานได้ไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการเปิดแท็บ การโหลดหน้าเว็บไซต์ หรือการประมวลผล JavaScript โดยสามารถทำลายสถิติบน Speedometer 3.0 เป็นมาตรฐานในการวัดความเร็วของเว็บเบราว์เซอร์ได้สำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Chrome เวอร์ชันใหม่ล่าสุดสามารถทำงานได้เร็วขึ้นเฉลี่ยถึง 10-20% เมื่อเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้า
เบื้องหลังความเร็วที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดจากการพัฒนาในระดับลึก ทั้งการปรับปรุง Blink Rendering Engine ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการแสดงผลเว็บไซต์ การจัดการหน่วยความจำใหม่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และการใช้อัลกอริธึมใหม่ในการประมวลผลข้อความและสคริปต์ต่าง ๆ ส่งผลให้ผู้ใช้งานรู้สึกได้ถึงความลื่นไหลในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเว็บไซต์ การตอบสนองของเว็บแอป หรือการโหลดเนื้อหาบนหน้าเพจต่าง ๆ

แม้ Chrome จะเร็วขึ้น แต่ปัญหาเรื่องการใช้ RAM ยังไม่ได้รับการแก้ไข Chrome ยังคงมีพฤติกรรมแยก process ต่อแท็บเช่นเดิม ส่งผลให้การเปิดหลายแท็บพร้อมกันกลายเป็นภาระหนักสำหรับหน่วยความจำเครื่อง โดยเฉพาะในกรณีของผู้ใช้ที่มี RAM น้อย เช่น 8GB หรือใช้งานบนโน้ตบุ๊ก จะยังคงเจอกับอาการหน่วง หรือเครื่องช้าลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะมีฟีเจอร์ Tab Memory Saver ให้เปิดใช้งานเพื่อลดการใช้ RAM ในแท็บที่ไม่ได้ใช้งานก็ตาม แต่ก็เหมือนไม่ได้ลดการใช้แรมจากเดิมเท่าไหร่ และต้องเปิดงานใช้ฟีเจอร์นี้เองด้วย
Google เองก็ยอมรับว่า การเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วของ Chrome ส่วนหนึ่งต้องแลกกับการใช้หน่วยความจำที่มากขึ้น โดยชี้แจงว่า “ระบบแคชที่มากขึ้นช่วยให้ Chrome เร็วขึ้น แม้จะต้องใช้ RAM เพิ่มขึ้นเล็กน้อย” สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการหาจุดสมดุลระหว่างความเร็วและการใช้ทรัพยากร

แม้ว่า Chrome จะยังคงครองแชมป์เบราว์เซอร์ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก แต่สำหรับผู้ใช้ที่เน้นการจัดการทรัพยากรอย่างประหยัด หรือใช้เครื่องที่มีสเปคต่ำ อาจพิจารณาเบราว์เซอร์ทางเลือกอย่าง Mozilla Firefox หรือ Brave ซึ่งได้รับการยอมรับว่าประหยัด RAM กว่า และยังมีฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวและระบบบล็อกโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ Google ยังเน้นว่าการพัฒนาด้านความเร็วเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเป้าหมาย โดยยังมีแผนต่อยอดให้ Chrome รองรับเว็บแอปยุคใหม่ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น พร้อมพัฒนาประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานให้เหมาะกับอุปกรณ์พกพา โดยเฉพาะโน้ตบุ๊กที่ใช้แบตเตอรี่ โดย Chrome ในโหมดประหยัดพลังงานสามารถช่วยยืดอายุการใช้งานได้เล็กน้อย
ที่มา : techspot