OPPO มาเลเซียเปิดให้จอง Reno13 Series แล้ว มาทั้ง Reno13, Reno13 Pro และ Reno13 F, ภาพ Official โผล่แล้ว

6 hours ago 2
❤️ ARTICLE AD BOX ❤️

หลังจากที่เริ่มมีข่าวเรื่องเกี่ยวกับสมาร์ตโฟนรุ่นกลางของ OPPO อย่าง Reno13 Series หลุดออกมาของอินเดีย เช่นเรื่องของสีที่มีเฉพาะในเวอร์ชัน Global เท่านั้นหลุดออกมา ล่าสุด ทาง OPPO มาเลเซีย ก็ได้เปิดให้จอง Reno13 Series แล้ว โดยมาทั้ง Reno13, Reno13 Pro และ Reno13 F แถมเริ่มปรากฏภาพเรนเดอร์ Official ออกมาแล้วด้วย

OPPO มาเลเซียเปิดให้จอง Reno13, Reno13 Pro และ Reno13 F แล้ว

OPPO Reno13 Series จะเปิดตัวและวางจำหน่ายในตลาดโลกในช่วงเดือนมกราคม 2025 ที่จะถึงนี้ และ OPPO มาเลเซียก็ได้เริ่มเปิดให้สั่งจองตัวเครื่องล่วงหน้าแล้ว โดยประกอบด้วย Reno13 F, Reno13 และ Reno13 Pro แต่จะมีบางตลาดที่จะได้แค่ Reno 13 และ Reno 13 Pro เท่านั้น

จากภาพตัวอย่างของ OPPO Reno13 Series เห็นได้ว่าจะมาพร้อมกับคุณสมบัติ AI เช่น AI Live Photo และ AI Editor ซึ่งภาพโปรโมทของ OPPO มาเลเซีย ยังยืนยันอีกด้วยว่าซีรีส์นี้จะกันฝุ่นและน้ำระดับ IP69 ด้วย

ในมาเลเซีย Reno13 Series จะเปิดให้พรีออเดอร์ระหว่างวันที่ 23 ธันวาคม – 10 มกราคม ซึ่งเป็นการบอกใบ้กลาย ๆ ว่า Reno13 Series นี้ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 มกราคม โดยโปรโมชันล่วงหน้าคือ สามารถสั่งซื้อ Reno13 F และ Reno13 ล่วงหน้าได้ด้วยการจองเป็นเงิน 20 ริงกิตมาเลเซีย ซึ่งจะได้รับคูปองมูลค่า 100 ริงกิตมาเลเซียสำหรับการซื้อ ซึ่งจะมาพร้อมกับแผนประกันของเหลวเข้าตัวเครื่อง และหน้าจอ 1 ปี การรับประกันแบบหลายภูมิภาค และแถม Enco Buds 2 ฟรี 1 คู่ (จนกว่าสินค้าจะหมด)

ส่วน Reno13 Pro จะจองด้วยการจ่ายเงินล่วงหน้า 50 ริงกิตมาเลเซีย ซึ่งจะได้คูปองส่วนลด 200 ริงกิตมาเลเซีย ซึ่งจะได้การรับประกันเพิ่มเติมที่คล้ายคลึงกันกับ Reno13 F และ Reno13 แต่จะได้ของแถมเป็นหูฟัง Oppo Enco Air 4 แทน Buds 2 ซึ่งทาง OPPO บอกว่าถ้าสั่งซื้อ Reno13 Series นี้ จะได้รับของแถมมูลค่าสูงสุด 2,266 ริงกิตมาเลเซียด้วย

ภาพ Official Render ของ OPPO Reno13 Series ออกมาแล้ว

OPPO ประเทศอินเดียได้คอนเฟิร์มสีของตัวเครื่องของ Reno13 Series แล้ว โดย Reno13 นั้นจะมาพร้อมกับสีขาวงาช้าง ‘Ivory White’ และสีน้ำเงิน ‘Luminous Blue’ ที่มีภาพหลุดออกมาก่อนหน้านี้ โดยข้อมูลจาก OPPO อินเดียเคลมว่าสีน้ำเงินนี้จะเป็นสีพิเศษเฉพาะตลาดอินเดียเท่านั้น โดยสีนี้จะมีเอฟเฟ็กต์เรืองแสงที่กรอบกล้องหลังด้วย ซึ่งเกิดจากการพิมพ์ออฟเซ็ตและการเคลือบสะท้อนแสงของฝาหลังตัวเครื่อง

ในขณะที่ OPPO Reno13 Pro จะมาใน 2 โทนสี คือสีม่วง Mist Lavender และสีเทา Graphite Grey ซึ่งเป็นดีไซน์ฝาหลังในรูปแบบที่คล้ายกัน และเป็นดีไซน์ที่ต่อเนื่องมาจากดีไซน์ของ Reno13 Series เวอร์ชันที่เปิดตัวและวางจำหน่ายในประเทศจีนไปก่อนหน้านี้

ข้อมูลที่ออกมาเพิ่มเติมของ OPPO Reno13 Series

โดย OPPO Reno13 Series จะมามาพร้อมกับกรอบอะลูมิเนียมเกรดอากาศยาน โดย Reno 13 รุ่นสีขาวจะหนาที่ 7.24 มม. ในขณะที่รุ่นสีน้ำเงิน จะหนาที่ 7.29 มม. เท่านั้น ในขณะที่รุ่น Pro จะมีความหนา 7.5 มม. ส่วนเรื่องของน้ำหนัก Reno 13 และ 13 Pro จะมีน้ำหนัก 181 กรัมและ 195 กรัมตามลำดับ และทั้งสองรุ่นจะมีกระจกด้านหลังแบบกระจกชิ้นเดียวที่ผ่านการแกะบริเวณกรอบกล้องมาให้เป็นส่วนเดียวกันทั้งหมด

นอกจากนั้น ทั้ง 2 รุ่นยังครอบทับกจอหน้าด้วยกระจก Gorilla Glass 7i ทั้ง 2 รุ่นจะใช้หน้าจอ OLED โดย Reno 13 มีขอบจอที่ 1.62 มม. และให้พื้นที่หน้าจอ 93.8% ในขณะที่ Reno 13 Pro มีขอบจอที่ 1.81 มม. และให้อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 93.4% และจะมาพร้อมกับมาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่นแบบ IP สามระดับ คือ IP66, IP68 และ IP69

ผลการทดสอบของ Reno13 Pro โผล่บน Geekbench

และยิ่งใกล้เปิดตัว ข้อมูลของ Reno13 Series ก็ยิ่งโผล่มามากขึ้นเรื่อย ๆ โดย Reno13 Pro ได้โผล่ผลการทดสอบบน Geekbench Browsers แล้ว โดย ณ เวลาที่รายงานข่าวอยู่นี้ ได้มีผลการทดสอบออกมาแล้วกว่า 4 ผลการทดสอบด้วยกัน โดยทั้ง 4 ผลการทดสอบนั้นมาจากสมาร์ตโฟนในรหัสรุ่นด้วยเดียวกัน นั่นคือ ‘CPH2697’ ซึ่งเคยได้มีการยืนยันออกมาก่อนหน้านี้จาก IMDA ของสิงคโปร์มาก่อนหน้านี้แล้วว่าเป็นรหัสของรุ่น Reno13 Pro ที่ขายในระดับโลก ทำให้ยืนยันได้ว่าการทดสอบทั้ง 4 นี้มาจาก Reno13 Pro แน่นอน

โดยผลการทดสอบล่าสุด ชี้ให้เห็นว่า OPPO Reno13 Pro นั้น มีความเป็นไปได้ว่าจะมาพร้อมกับชิปเซต MediaTek Dimensity 8350 (แบบเดียวกับที่เปิดตัวไปในประเทศจีน) หรือไม่ก็ชิปเซต Dimensity 8300 และยังบอกอีกว่า Reno13 Pro เครื่องนี้จะมาพร้อมกับแรมขนาด 12GB และ Android 15 ด้วย ซึ่งคาดว่าจะเป็น ColorOS 15 เหมือนกับที่เปิดตัวในจีน และใน OPPO FindX8 Series ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้

ที่มา : Gizmochina, Gizmochina (2), Geekbench

Read Entire Article