Intel ได้ประกาศปลดนาย Pat Gelsinger ออกจากตำแหน่ง CEO หลังจากดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนานถึง 4 ปี ทำให้ราคาหุ้นและส่วนแบ่งการตลาดลดลงอย่างมาก ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารที่มีข้อโต้แย้งกันมากมาย โดยเฉพาะประเด็นที่ Gelsinger ไม่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความไม่มั่นใจกลยุทธ์ในการพลิกฟื้นของบริษัทอีกด้วย
ภายหลังการลาออกของ Gelsinger ทาง Intel ได้แต่งตั้ง David Zinsner ซึ่งกำลังดำรงตำแหน่งเป็น CFO และ MJ Holthaus ซึ่งเป็น CEO ของฝ่ายโปรดักต์ Intel ให้ทั้งคู่เป็น CEO ร่วมชั่วคราว ขณะที่ Frank Yeary ซึ่งดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการบริหารมายาวนาน จะรับหน้าที่เป็นประธานบริหารชั่วคราว และหลังจากการประกาศดังกล่าว ทำให้ราคาหุ้นของ Intel ลดลง 2%
Yeary เป็นสมาชิกคณะกรรมการที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของ Intel จะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่ Gelsinger วัย 63 ปี มีผลงานที่โดดเด่นที่ Intel และไต่เต้าขึ้นมาเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคคนแรกของบริษัทในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ ก่อนที่จะรับตำแหน่งอาวุโสที่ EMC Gelsinger กลับมาที่บริษัทจาก VMware ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับ Intel ในปี 2021 เขาก็ได้เข้ามาสืบทอดตำแหน่งต่อจาก Bob Swan ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในขณะนั้น
และเมื่อถึงในปี 2021 Gelsinger ได้ร่างแผนอันทะเยอทะยานเพื่อฟื้นฟู Intel และบรรลุความเท่าเทียมทางการแข่งขันกับผู้นำในอุตสาหกรรมอย่าง Samsung และ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (หรือ TSMC) ซึ่งกลยุทธ์ของเขาต้องการที่จะลงทุนอย่างกว้างขวางในธุรกิจการผลิตชิปของสหรัฐฯ โดยต้องการสร้างโรงงานผลิตชิปขนาดใหญ่ทั่วโลก และการจัดหาเงินทุนจากรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่าน U.S. CHIPS และ Science Act ซึ่งล่าสุดได้มอบเงินช่วยเหลือมูลค่า 7.86 พันล้านดอลลาร์ให้กับ Intel ไปแล้ว
นอกจากนี้ Gelsinger ยังได้ขยับการวางตำแหน่งบริษัท Intel ให้มีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ โดยเขาได้รับสัญญาหลายพันล้านดอลลาร์กับกระทรวงกลาโหมเพื่อสร้างชิปด้านความปลอดภัย และในการประชุมกับนักวิเคราะห์และลูกค้าที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้ารายใหม่ เขาได้เน้นย้ำว่า Intel เป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ของรัฐบาลสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาทำดูเหมือนจะไม่สามารถซื้อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ครับ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางการเงินจากแผนการใช้จ่าย และการสร้างภาระหนี้สินอย่างมากให้บริษัท ทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่าการใช้จ่ายของ Intel เป็นเรื่องไร้สาระมากขึ้นเรื่อย ๆ
Intel กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญเนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคู่แข่งอย่าง Nvidia ในส่วนของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI โดยมูลค่าตลาดของบริษัทลดลงเหลือต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าในปี 2021 โดยลดลงต่ำกว่า 1แสนล้านดอลลาร์เป็นช่วงสั้น ๆ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา และราคาหุ้นลดลงถึง 52% นับตั้งแต่ต้นปีอีกด้วย
ในเดือนสิงหาคม ผลประกอบการไตรมาสที่น่าผิดหวังของ Intel ส่งผลให้เกิดการเทขายหุ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี ทำให้บริษัทต้องประกาศเลิกจ้างพนักงานมากกว่า 15% เพื่อลดต้นทุนมูลค่า 10 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ มีรายงานว่า Intel ได้พยายามหาที่ปรึกษาเพื่อปกป้องตัวเองจากนักลงทุนที่มีแนวโน้มเคลื่อนไหวต่อต้าน แม้ว่าจะยังไม่มีท่าทีอย่างชัดเจนจากนักลงทุนก็ตาม
ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา Intel ได้ประกาศแผนที่จะแยกธุรกิจโรงหล่อออกเป็นบริษัทลูกอิสระ ซึ่งอาจเปิดช่องทางการระดมทุนใหม่ ๆ นอกจากนี้ Qualcomm ยังแสดงความสนใจในการเข้าซื้อกิจการ Intel เนื่องจากปัจจุบันบริษัทอยู่ในสถานะที่ไม่มั่นคง และความท้าทายหลายประการเกิดจากการตัดสินใจของผู้นำในอดีต รวมถึงการไม่ทำสัญญาผลิตชิปกับ Apple และพลาดโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ Nvidia ซึ่งทำให้ Intel เสียเปรียบในการแข่งขันจนถึงปัจจุบัน
การปลด Pat Gelsinger ออกเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการกำกับดูแลของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากการลาออกของ Lip-Bu Tan จากคณะกรรมการบริหาร ส่งผลให้กรรมการขาดความเชี่ยวชาญด้านเซมิคอนดักเตอร์ และยังมีรายงานชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ยังคงเกิดขึ้นกับกลยุทธ์การเข้าซื้อกิจการขององค์กรของ Intel และความขัดแย้งภายในคณะกรรมการบริหารอีกด้วย