กลับมาพับกบ เอ๊ย! พบกับรีวิว Samsung Galaxy Z Flip7 มือถอืจอพับเล็ก ไซซ์ตลับแป้งรุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ กับมาครั้งนี้ขอก้าวขึ้นมาเป็นหัวแถวด้วยการปรับปรุงแก้ไขในหลายๆ จุด จอนอกใหญ่เต็มตา รอยพับน้อยลง ตัวเครื่องบางกว่าเดิม พร้อมกันนั้นยังมาพร้อมกับชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Exynos 2500 ใช้งานจริงจะตอบโจทย์ขนาดไหน ไปดูกัน!

ดีไซน์พับเล็ก Galaxy Z Flip7 มองกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ
สิ่งแรกที่อยากพูดถึงเกี่ยวกับจุดเด่นของ Galaxy Z Flip7 ก็คือ จอด้านนอกขนาดใหญ่ หรือ Cover Screen ซึ่งขยายจาก 3.4 นิ้ว ในปีที่แล้ว มาเป็นหน้าจอ sAMOLED ขนาด 4.1 นิ้ว และรองรับอัตรารีเฟรชเรทที่ 120Hz อีกด้วย ทำให้สีของตัวเครื่องจะปรากฎให้เห็นอยู่ที่ด้านล่างเป็นหลัก ส่วนด้านบนก็ยังใช้การวางโมดูลกล้องเป็นแนวนอน คู่กับไฟแฟลชตามเดิม










สำหรับสีที่อยู่ในมือของเราตอนนี้คือสีแดง Coral Red เป็นสีใหม่ที่โดดเด่นพอสมควรสำหรับ Galaxy Z Flip7 เหมาะมากๆ สำหรับคนที่ต้องการมือถือไลฟ์สไตล์สักหนึ่งเครื่องไว้ใช้งาน ฝาหลังตัวเครื่องเป็นผิวสัมผัสแบบด้าน ไม่ติดรอยนิ้วมือง่ายเหมือนกับ Z Fold7
อีกหนึ่งสิ่งที่ Galaxy Z Flip7 มีการปรับปรุงและทำออกมาได้น่าประทับใจสำหรับปีนี้ก็คือ รอยพับหน้าจอที่บางลงมากๆ ถ้าเราไม่ตั้งใจเพ่งมองดูดีๆ ก็แทบจะไม่เห็นรอยพับของหน้าจอเลย นอกจากนั้นยังรวมไปถึงความบางของตัวเครื่องที่ก็บางลงกว่าเดิม แต่ยังคงมาตรฐานการทนน้ำทนฝุ่นอยู่ที่ระดับ IP48 เช่นเดิม


จอนอกใหญ่เต็มตา จอในสวยเหมือนเดิม
อย่างที่ได้เกริ่นไป Galaxy Z Flip7 มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่ในรอบ 2 ปี จัดเต็มให้มากกว่าเดิมด้วยการขยายหน้าจอเป็นขนาด 4.1 นิ้ว ทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่เต็มตากว่าเดิมได้เยอะขึ้น เช่น การโทรเข้า-ออก, ปรับแต่งหน้า Widget, ใช้งานแอปพลิเคชัน และใช้เป็นจอโชว์พรีวิวในการถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหลัง

อีกหนึ่งข้อดีก็คือเมื่อหน้าจอด้านนอกมีขนาดใหญ่ที่กำลังดี ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเรามีมือถือไซซ์กะทัดรัด (Compact Phone) อยู่ในมืออีกเครื่องด้วย ไม่จำเป็นต้องกางหน้าจอเพื่อใช้งานอยู่ตลอดเวลา
การถ่ายรูปหรือวิดีโอด้วยกล้องหลังผ่านจอนอกของ Galaxy Z Flip7 หน้าตาระบบหรือ UI ถูกออกแบบมาใหม่โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟคต์บริเวณวงแหวนกล้องเมื่อทำการเปลี่ยนโหมด และการนับถอยหลังเมื่อกดปุ่มชัตเตอร์ แต่หากเป็นในกรณีของการถ่ายวิดีโอ จะยังมีการแสดงผลพื้นที่สีดำปรากฎอยู่ ไม่ได้แสดงผลเต็มทั้งหน้าจอเหมือนการถ่ายภาพนิ่ง




การเล่นแอปพลิเคชันผ่านหน้าจอด้านนอก จะมีแอปพลิเคชันพื้นฐานที่นักพัฒนาได้ปรับแต่งให้เหมาะสำหรับการใช้งานบนจอนอกมาแล้ว เช่น YouTube, Maps หรือ Netflix แต่จากที่ได้ลองใช้งานมาก็ยังมีข้อจำกัดอยู่หนึ่งอย่างคือ แอปพลิเคชันยังไม่สามารถแสดงผลจนเต็มหน้าจอได้ทั้งหมด แต่จะมีการเว้นขอบดำในระนาบเดียวกับโมดูลกล้องไว้อยู่

ส่วนแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่ใช้เป็นประจำ แต่ผู้พัฒนายังไม่ได้ปรับให้สามารถแสดงผลเข้ากับจอด้านนอกหรือ Cover Screen ได้ เราก็สามารถใช้งานได้ด้วย Good Lock ผ่านปลั๊กอิน MultiStar แต่ในช่วงที่เราได้ถือ Z Flip7 ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฟีเจอร์ดังกล่าวจะยังไม่สามารถใช้งานได้นะครับ เวอร์ชันวางจำหน่ายจริงคาดว่าจะได้รับการแก้ไขแล้วอย่างแน่นอน






หากเทียบกับรุ่นก่อนหน้าถือว่าเป็นการมอบประสบการณ์การใช้งานแบบ เต็มตา ผ่านจอนอกที่ดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควร เพราะนอกจากจอที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ขนาดของตัวเครื่องก็มีการปรับให้ใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟน Bar Type มากขึ้น (21:9)
ส่วนจอแสดงผลด้านในเลือกใช้เป็น Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.9 นิ้ว ความละเอียด FHD+ และรองรับอัตรารีเฟรชเรท 120Hz จอคมชัด แสดงผลสีสันสดใส ใช้งานกลางแจ้งได้แบบสบายใจ พับใช้งานบนโต๊ะแบบ 90 องศา พร้อมกับแบ่งหน้าจอไปด้วยก็ทำได้ง่ายๆ



กล้องหลังคู่ความละเอียด 50MP + 12MP
สำหรับชุดกล้องหลังคู่ของ Galaxy Z Flip7 ยังคงเป็นกล้องหลักความละเอียด 50MP และกล้องอัลตราไวด์ 12MP พร้อมไฟแฟลช LED ถึงจะไม่ได้อัปเกรดความละเอียดของเซนเซอร์กล้องให้สูงขึ้น แต่ด้วยชิปประมวผลตัวใหม่อย่าง Exynos 2500 และอัลกอริธึมประมวลผลภาพของ One UI 8 ก็ทำให้ภาพถ่ายที่ได้มานั้น มีความคมชัด และโทนของภาพที่ดีขึ้นครับ จากในปีที่แล้ว Z Flip6 จะเน้นโทนภาพแบบธรรมชาติ ดูมีความเป็นผู้ใหญ่เป็นหลัก

ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัก Galaxy Z Flip7















ตัวอย่างภาพจากกล้องอัลตราไวด์ Galaxy Z Flip7




Galaxy Z Flip7 จะมีคาแรคเตอร์ของโทนภาพที่มีความ Pop หรือสดใสมากขึ้น เน้นตอบโจทย์ผู้ใช้งานสายไลฟสไตล์ หรือผู้ใช้ที่ต้องการนำรูปภาพไปใช้กับ Vlog และลง Social Media เพราะจะมีการเกลี่ยหรือปรับผิวหน้าของตัวแบบหรือคนในรูปให้ดูเนียนเป็นธรรมชาติด้วย
เซลฟี่ด้วยกล้องหน้าได้ง่ายๆ กับฟีเจอร์ Auto Framing

อีกหนึ่งสเน่ห์ของ Galaxy Z Flip7 ที่ทำให้ครองใจใครหลายๆ คนก็คือ การใช้งาน Flex Camera Mode ที่เราจะสามารถใช้งานกล้องหลังทั้งกล้องหลัก และกล้องอัลตราไวด์เซลฟี่ตัวเองได้ และใช้ Cover Display เป็นหน้าต่างพรีวิวหันเข้าหาตัว เพื่อเช็กความพร้อมก่อนกดถ่าย โดยสามารถถ่ายได้ทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ เลือกปรับอัตราส่วนภาพ การนับเวลาถอยหลัง และเลือกระยะซูม



ตัวอย่างภาพถ่ายเซลฟี่จากกล้องหลังของ Galaxy Z Flip7






โดยฟีเจอร์ Auto Framing จะเข้ามาช่วยในสถานการณ์ที่เราต้องการเซลฟี่ร่วมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่ขี้เกียจปรับระยะซูมเข้า-ออกหลายครั้ง Auto Framing ก็จะทำการปรับระยะของภาพให้โดยอัตโนมัติ Tracking ตามจำนวนคนที่อยู่ในเฟรม เหมือนกับมีช่างภาพส่วนตัวมาถ่ายรูปให้ และยังใช้ฝ่ามือเพื่อทำการ Palm Selfie โดยไม่ต้องกดชัตเตอร์ด้วยตัวเอง


หรือจะเป็นการถ่ายรูปให้คุณแฟนหรือถ่ายรูปให้เพื่อนแบบไม่ต้องเดาใจว่ามุมที่เราเล็งไว้นั้น จะถูกใจนางแบบนายแบบหรือเปล่า เพราะ Galaxy Z Flip7 เราสามารถขึ้นพรีวิวที่หน้าจอแสดงผลด้านนอกให้ตัวแบบดูได้โดยตรงเลย หมดปัญหาถ่ายรูปไปก่อนแล้วค่อยมานั่งคัดอีกที เพราะสามารถล็อกมุมที่ต้องการได้ตั้งแต่ตอนต้น


ชิปเซ็ตตัวใหม่ Exynos 2500 เล่นเกมเป็นยังไงบ้าง
ขยับมาดูการประมวลผลของตัวเครื่องกันบ้าง Galaxy Z Flip7 นับเป็นครั้งแรกเลยที่เลือกใช้ชิปอย่าง Exynos 2500 ซึ่งเปิดตัวไปได้เมื่อไม่นานมานี้ โดยนอกจากความแรงแล้ว ยังประหยัดพลังงานและระบายความร้อนได้ดีขึ้น รองรับการแสดงผลกราฟิกที่สวยงาม และการประมวลผล AI ที่รวดเร็วกว่าเดิม แต่สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น วันนี้พวกเราได้หยิบ Galaxy Z Flip7 ไปทดสอบเล่นเกมแบบจริงจังดูเป็นที่เรียบร้อย!
Garena RoV
เริ่มต้นด้วยเกมพื้นฐานยอดฮิตที่ใครๆ ก็ต้องมีติดมือถืออย่าง RoV เรานำ Galaxy Z Flip7 ไปทดสอบด้วยการปรับค่า Setting การแสดงผล HD สูงสุด และเฟรมเรทสูงสุด (60 FPS) สามารถเล่นได้แบบสบาย ลื่นไหลเฟรมเรทไม่มีร่วง วิ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 59 – 60 FPS ถึงแม้จะเป็นช่วงของการเข้าไฟต์หนักๆ และกดใช้เอฟเฟคกันเยอะ


ในส่วนของความร้อนจากชิป Exynos 2500 เรียกได้ว่าไม่รู้สึกเลยสำหรับการเล่น RoV ถึงแม้จะเล่นลากยาวไปเป็นครึ่งชั่วโมง ทั้งบริเวณเฟรมตัวเครื่องหรือจอแสดงผลด้านนอกไม่รู้สึกถึงความร้อนเลย ถือว่าสอบผ่านสำหรับการเล่น RoV
PUBG Mobile
ต่อมาคือ PUBG Mobile น่าเสียดายครับว่าในช่วงเวลาที่เราทดสอบกันนั้นตัวเกมยังไม่ถูก Optimized มาให้สามารถปรับเฟรมเรทแบบสูงได้ โดยจะปรับได้สูงสุดอยู่แค่ที่ High หรือ 30 FPS เท่านั้น คาดว่าด้วยตัวซอฟต์แวร์ที่เราได้มาใช้งานยังไม่ใช่เวอร์ชันที่สมบูรณ์ และการเล่นด้วยเฟรมเรทที่ 30 ทำให้การเล่นตลอด 30 นาที ความร้อนจึงไม่ขึ้นสูงมาแต่อย่างใด เพราะไม่ได้มีการใช้ทรัพยากรกราฟิกสูง


ส่วนคุณภาพของการแสดงผลจะสามารถดันไปได้มากสุดถึง Ultra HDR การเล่นไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองต่อการสัมผัส เสียงลำโพงสำหรับฟังศัตรูจากทั้งสองทิศทางซ้าย-ขวา Galaxy Z Flip7 สามารถเสริมประบการณ์ในการเล่นได้เป็นอย่างดีเลยครับ
Genshin Impact
สุดท้ายคือเกมปราบเซียนอย่าง Genshin Impact ทดสอบการเล่นระยะเวลา 30 นาทีด้วย Setting กราฟิกแบบสูงสุด และเฟรมเรทปรับสุด 60 FPS เล่นได้ลื่น ต่อสู้แบบไม่มีสะดุด จังหวะเฟรมเรทดรอปหรืออาการทัชหน่วง ภาพกระตุกไม่มีให้เห็นเลยตลอดการเล่น ถึงแม้ตัวเครื่องจะมีอุณหภูมิสูงก็ตาม


แต่จุดสังเกตหนึ่งอย่างคือเรื่องของ ความร้อน ที่ไต่ระดับขึ้นมาไวมากๆ โดยอุณหภูมิสูงสุดที่เราวัดได้ขณะเล่น Genshin Impact อยู่ที่ 44-45 องศา ตัวเครื่องรู้สึกถึงความร้อนแบบชัดเจนโดยเฉพาะบริเวณหน้าจอแสดงผลด้านนอกที่มือซ้ายของเราจะพยุงตัวเครื่องเอาไว้ตอนจับถือเล่นในแนวนอน เพราะเป็นตำแหน่งของแผ่นระบายความร้อน Vapor Chamber ของ Galaxy Z Flip7 นั่นเอง


One UI 8 กับจอพับเล็กทำอะไรได้บ้าง
ระบบปฎิบัติการของ Galaxy Z Flip7 มาพร้อมกับ One UI 8 บนพื้นฐานของ Android 16 ซึ่งมีฟีเจอร์น่าสนใจใหม่ๆ เยอะอยู่พอสมควร และในแต่ละฟีเจอร์นั้นก็เป็นการ Optimized หรือออกแบบมาให้เข้ากับการใช้งานบน Galaxy Z Flip โดยเฉพาะอีกด้วย เช่นฟีเจอร์ Gemini และ Gemini Live ที่เราสามารถใช้งานผ่านหน้าจอแสดงผลด้านนอกได้ด้วย!


Multi Windows แบบใหม่ เราสามารถเปิดแอปพลิเคชันได้พร้อมกันสูงสุด 2 แอปพลิเคชัน และสามารถกดสลับหน้าต่างระหว่างแอปพลิเคชันไปมาได้ง่ายๆ ด้วยการกดเพียงหนึ่งครั้ง โดยหน้าต่างจะถูกแบ่งเป็นอัตราส่วนแบบ 90:10 เพื่อให้พื้นที่ของแอปพลิเคชันที่กำลังใช้งานโดดเด่นมากที่สุด



Galaxy AI ฟีเจอร์เดิมยังอยู่ครบ พร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ Pet Portrait เราสามารถนำรูปของน้องหมา น้องแมวมาเปลี่ยนเป็นภาพลายเส้นสไตล์ต่างๆ ได้ตามต้องการด้วย AI แถมการประมวลผลรูปภาพยังทำออกมาได้ไวมากด้วย เป็นผลพวงมาจากชิปเซ็ต Exynos 2500 ที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล AI (NPU) ที่สามารถประมวลผลได้ดีขึ้นถึง 39%



หน้าจอ Lock Screen ที่ปรับแต่งได้มากขึ้นด้วย Clock Face รูปแบบใหม่ ที่จะปรับเปลี่ยนไปตามวอลเปเปอร์ที่เราเลือกใช้ และการปรับแต่งหน้าวิดเจ็ตสำหรับจอแสดงผลด้านนอกแบบอิสระ








แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้น 4,300mAh
ถึงแม้ตัวเครื่องจะบางลง แต่ได้ความจุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาเป็น 4,300mAh จากเดิม 4,000mAh ในรุ่นก่อนหน้านี้ ชาร์จให้เต็ม 100% แล้วใช้งานแบบจัดหนักทั้งการถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ และการเล่นเกม ถือว่าตัวเลขถึงจะไม่ได้เพิ่มมาเยอะมากแต่ก็สามารถทำให้ Z Flip7 พับจิ๋วเครื่องนี้อยู่กับเราไปได้ตลอด 1 วันเต็มเลยครับ อ้างอิงจาก Screen Time 4 ชม. แบตเตอรี่จาก 100% ลดลงมาเหลือ 44%

จุดที่น่าเสียดายเกี่ยวกับแบตเตอรี่ของ Z Flip7 คือจุดเดียวกับที่ Z Fold7 ประสบพบเจอเหมือนกันนั่นก็คือ ความเร็วการชาร์จ เพราะในปี 2025 กับมือถือเรือธงที่เรียกว่าเป็นเรือธงก็ไม่ผิด แต่ยังได้ความเร็วการชาร์จแค่ 25W เห็นแล้วก็แอบเจ็บแปล็บในหัวใจนิดๆ ครับ ถ้ามีการปรับปรุงในรุ่นถัดไปได้ก็อาจจะเติมเต็มช่องว่างตรงนี้ไปได้อีกพอสมควร
สรุปการใช้งาน Galaxy Z Flip7


Galaxy Z Flip7 เป็นจอพับรุ่นใหม่ที่ตัวผู้เขียนมั่นใจว่าหากใครที่ได้ไปสัมผัสหรือเห็นตัวเครื่องจริงๆ แล้วล่ะก็ มีโอกาสที่จะถูกตกสูงมากๆ โดยเฉพาะกับคนที่ยังถือ Galaxy Z Flip5 หรือ Z Flip6 อยู่ในมือ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จัดหนักใส่เต็ม ตั้งแต่ดีไซน์หน้าจอแสดงผลด้านนอก 4.1 นิ้ว แสดงผลแบบเต็มตากว่าเดิม ความบางตัวที่เครื่องที่น้อยลง และตัวเลือกสีแบบใหม่ จับถือใช้งานยังไงก็มีแต่คนจับจ้องเพราะความแปลกใหม่ที่ไม่เคยตกยุค

โดยเฉพาะกับใครที่เป็น Content Creator หรือชอบเก็บช่วงเวลาดีๆ ด้วยรูปถ่ายกับวิดีโอ Flex Mode ของ Galaxy Z Flip7 ในขนาดพอดีมือก็จะให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่แตกต่างจาก Galaxy Z Fold7 ไปอีกแบบครับ ด้วยไซซ์ที่ขนาดพอดีกับมือ ชิปเซ็ตประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด และระบบปฎิบัติการ One UI 8 ที่ก็ยังเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ฝั่ง Android ที่เสถียรมากๆ อีกตัวหนึ่ง
จอพับราคาประหยัด Galaxy Z Flip7 FE
สำหรับใครที่อยากจะลองเข้าวงการจอพับบ้าง ทาง Samsung เองก็ได้เปิดตัวมือถือจอพับรุ่นเริ่มต้น Galaxy Z Flip7 FE ที่มีราคาถูกและเข้าถึงได้ง่ายกว่า Z Flip7 โดยดีไซน์ที่ได้นั้นจะเป็นการถอดแบบมาจาก Galaxy Z Flip5 แบบเป๊ะๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลด้านนอก 3.4 นิ้ว กับจอสแดงผลด้านในเมื่อกางออก 6.7 นิ้ว


ชิปเซ็ตที่เลือกใช้คือ Exynos 2400 ที่ใช้ในอดีตเรือธงอย่าง Galaxy S24 และ Galaxy S24+ มาแล้ว จับคู่กับหน่วยความจำขนาด 8GB และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล 128GB และ 256GB แบตเตอรี่ความจุ 4,000mAh
ชุดกล้องหลังสองตัวความละเอียด 50MP และกล้องอัลตราไวด์ 12MP กล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 10MP มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ One UI 8 บนพื้นฐาน Android 16 ตั้งแต่แกะกล่อง


ราคาและการวางจำหน่าย
Samsung Galaxy Z Flip7 เปิดตัวมาพร้อมกับดีไซน์สีสุดชิคหรือสีสไตล์มินิมอลให้เลือกมากถึง 3 สีหลัก ได้แก่ สีแดง (Coralred) สีดำ (Jet Black) สีน้ำเงิน (Blue Shadow) และสีพิเศษสำหรับการสั่งซื้อผ่าน Samsung Online Store ทั้งหมดเพิ่มเติมคือ สีเขียว (Mint Green) โดยมีราคาและตัวเลือกความจุดังนี้
- 12GB + 256GB : ราคา 40,900 บาท
- 12GB + 512GB : ราคา 45,900 บาท

ส่วนของ Galaxy Z Flip7 FE จะมีตัวเลือกสีสุดคลาสสิคให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ (Black) และสีขาว (White) พร้อมตัวเลือกรุ่นความจุสองรุ่น ในราคาเริ่มต้น 32,900 บาท
- 8GB + 128GB : ราคา 32,900 บาท
- 8GB + 256GB : ราคา 35,900 บาท
