หลังจากเปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยในงาน Galaxy Unpacked ทาง DroidSans ก็ไม่พลาดที่จะเอา Samsung Galaxy Z Fold7 มารีวิวให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน กลับมาครั้งนี้ถือเป็นการปรับปรุง และแก้ไขในหลายๆ จุดตามที่ผู้ใช้ร้องขอกันเข้ามา โดยเฉพาะกับดีไซน์บางเฉียบ และเซนเซอร์กล้องหลักที่อัปเกรดขึ้นมาจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Z Fold6 เยอะพอสมควร จะน่าสนใจมากขนาดไหนไปดูกันเลย!

ดีไซน์โดยรวมของ Galaxy Z Fold7 – Blue Shadow
ภายในงาน Galaxy Unpacked ครั้งนี้ สมาร์ทโฟนจอพับอย่าง Galaxy Z Fold7 มาพร้อมกับสีไฮไลต์สุดโดดเด่นของ Samsung อย่าง สีน้ำเงิน Blue Shadow โดยเฉดสีจะเป็นเฉดเดียวกับ Navy Blue ของ S25 Series ฝาหลังตัวเครื่องเป็นกระจกแบบด้าน หากใช้งานแบบไม่ใส่เคสแล้วติดลายนิ้วมือค่อนข้างชัดครับ ในเรื่องของวัสดุก็ยังคงใช้เป็น Armor Aluminum ที่ให้ความทนทานสูง และเสริมการป้องกันด้วยกระจกเซรามิก ภาพรวมดีไซน์ของปีนี้ถือว่าให้ความพรีเมียม มินิมอลขึ้นไปอีกระดับเลยครับ






ตำแหน่งของพอร์ตเชื่อมต่อ และปุ่มกดต่างๆ รอบตัวเครื่องไม่ได้เปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น ถาดสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ Dual Slot ถัดมาฝั่งขวาของตัวเครื่องคือปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด-ปิดซึ่งรองรับการสแกนลายนิ้วมือด้วย สุดท้ายคือดีไซน์ของช่องลำโพงแบบขีดยาวที่ถือเป็น Design Language แบบใหม่ของ Samsung ไปแล้วเช่นกันครับ
แต่สิ่งที่เป็นจุดพีคหรือจุดขายหลักของ Galaxy Z Fold7 ในปีนี้ก็คือ ความบาง ครับ จากที่เราได้เห็นกันในงานเปิดตัวและตัวเครื่องที่อยู่ในมือของเราตอนนี้ ตัวเครื่องมีการปรับลดความหนาลงมาเยอะมากๆ พอสมควรแบบรู้สึกได้เลย โดยตัวเครื่องนั้นมีความบางเพียง 4.2 มม. (เมื่อกางหน้าจอ) และหนา 8.9 มม. (เมื่อพับหน้าจอ) ส่วนของบานพับก็ปรับขนาดให้เล็กลงกว่าเดิม ส่งผลให้ตัวเครื่องน้ำหนักเบาลงไปด้วย เหลือเพียงแค่ 215.5 กรัม





ลองเอามาวางเปรียบเทียบกับ Galaxy Z Fold6 ในปีที่แล้ว นับว่าบางลงจนน่าใจหาย เชื่อว่าแฟนๆ จอพับของ Samsung หลายคนน่าจะชอบในการปรับปรุงจุดนี้กันพอสมควรนะครับ (เพราะตัวของผู้เขียนเองก็ชอบเอามากๆ) พอน้ำหนักเบาลง บางน้อยลงกว่าเดิม ประสบการณ์ในการพกพาหรือจับถือใช้งานก็ดีขึ้นกว่าเดิมไปด้วย จากที่เราได้เอามาลองชั่งดูก็ปรากฎว่ามีน้ำหนักแค่ 215.5 กรัม






สุดท้ายในหัวข้อดีไซน์ของ Galaxy Z Fold7 ถึงตัวเครื่องจะบางลง แต่ก็ไม่ได้บอบบางหรืออ่อนแอไปกว่าเดิม Galaxy Z Fold7 รองรับมาตรฐานการทนน้ำทนฝุ่นที่ระดับ IP48 ซึ่งทนน้ำลึก 1.5 เมตรได้นาน 30 นาที

หน้าจอใหญ่ขึ้น รอยพับน้อยลง เสพคอนเทนต์เต็มตากว่าเดิม
นอกจากความบางแล้ว Galaxy Z Fold7 ยังได้ปรับปรุงอัตราส่วนหน้าจอใหม่ให้กว้างขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาหน้าจอด้านนอกของ Z Fold มักจะเป็นหน้าจอแบบผอมหรือเน้นความยาวเป็นหลัก ทำให้การแสดงผลหรือเวลาใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ จะทำให้รู้สึกอึดอัดได้ง่าย ปีนี้เลยปรับให้จอแสดงผลด้านนอกกว้างขึ้นกว่าเดิมจาก Galaxy Z Fold6 ที่เป็น 6.3 นิ้ว กลายเป็น 6.5 นิ้ว ส่วนหน้าจอด้านในก็ขยายขึ้นมาเป็น 8 นิ้ว



พาเนลของจอแสดงผลทั้งจอนอก และจอด้านในเลือกใช้เป็น Dynamic AMOLED 2X รองรับอัตรารีเฟรชเรต 120Hz พร้อมกับความสว่างหน้าจอสูงสุด 2,600 นิต สามารถใช้งานกลางแจ้งได้แบบสบาย ไม่ต้องกังวลว่าหน้าจอจะมืดหรือสู้แสงไม่ไหว แถมรอยพับบนหน้าจอก็น้อยลงกว่าเดิม เวลาลากนิ้วผ่านไป-มา แทบจะไม่รู้สึกถึงหลุมตรงบานพับเลยครับ


อีกหนึ้งสิ่งที่ต้องแลกมากับการทำให้เครื่องบางก็คือ Galaxy Z Fold7 จะไม่สามารถใช้งาน S Pen ได้แล้วครับ ถ้าต้องการจะใช้ปากการ่วมกับหน้าจอจำเป็นจะต้องโยกย้ายไปใช้เป็นปากกา Capacitive Stylus แทน (แต่อาจจะไม่ได้แม่นยำเท่าการใช้ S Pen จริงๆ) คาดว่าด้วยการหั่นความบางตัวเครื่องให้เหลือแค่ 4.2 มม. เลยจำเป็นที่จะต้องนำฮาร์ดแวร์ส่วนที่ทำหใ้หน้าจอรองรับการใช้งาน S Pen ออกไปก็เป็นได้



ฟีเจอร์ใหม่น่าสนใจบน Galaxy Z Fold7 มีอะไรบ้าง?
หลังจากปล่อยการอัปเดต One UI 7 มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2025 ที่ผ่านมา ในงาน Galaxy Unpacked ครั้งนี้ก็ได้มีการเปิดตัวระบบปฎิบัติการ One UI 8 บนพื้นฐานของ Android 16 เลยทันที สำหรับการเปลี่ยนแปลงหลักๆ จะเป็นการปรับปรุงหรือแก้ไขในส่วนของเมนูหรือการใช้งานแบบ Multitask เล็กๆ น้อยๆ เป็นหลักครับ เพื่อให้การใช้งานกับจอพับนั้นสะดวกมากยิ่งขึ้น และไร้รอยต่อสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์สวมใส่มากขึ้นกว่าเดิม

ใครที่ใช้งาน Samsung Galaxy Z Fold มาตลอดเวลาอยู่แล้ว ก็จะคุ้นเคยกับการใช้งานแบ่งหน้าจอ (Multi-window) กันอยู่แล้วใช่มั้ยครับ โดยเรายังสามารถใช้งานแบ่งหรือสลับหน้าจอไปมาได้แบบอิสระตามเดิม โดยจะมีการเพิ่มสัดส่วนการแบ่งหน้าจอแบบใหม่เข้ามาในสัดส่วน 90:10





โดยแอปพลิเคชันที่เราใช้งานเป็นหลักจะขึ้นแสดงผลแบบเกือบเต็มหน้าจอ และแอปพลิเคชันอีกอันจะทำการหลบมุมอยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งของจอ โดยเราสามารถสลับไปใช้แอปพลิเคชันนั้นๆ ได้ง่ายกว่าเดิมด้วยการกดแค่ครั้งเดียว และสามารถเปิด Pop-up View เพิ่มได้อีกสูงสุดรวมกัน 5 แอป
Flex Mode ที่ยังคงได้รับการพัฒนาให้ใช้งานได้ดีขึ้นแบบต่อเนื่อง เราสามารถนำเจ้า Galaxy Z Fold7 มาตั้งไว้กับโต๊ะเพื่อใช้งาน แล้วปรับองศาหน้าจอให้เหมือนโน้ตบุ๊กได้เลย เช่น ใช้งานท่องเว็บไซต์ที่หน้าจอด้านล่างเราสามารถใช้เป็น Trackpad ในตัวได้เลย หรือจะเป็นการเซลฟี่ถ่ายวิดีโอ Vlog ด้วยกล้องหน้า หน้าจอด้านล่างก็จะเป็นหน้าต่างสำหรับ Setting และควบคุมกล้อง



Galaxy AI ตีบวกให้เก่งขึ้นบน Z Fold7
สำหรับฟีเจอร์อัจฉริยะหรือ Galaxy AI บน Galaxy Z Fold7 ในคราวนี้ก็ได้รับการตีบวกให้สามารถทำงานได้หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิมด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Gemini ที่สามารถทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันระบบของ Samsung ได้โดยตรง หรือจะเปิดกล้องแล้วพูดคุยกับ Gemini Live แบบเรียลไทม์ก็สามารถทำได้เช่นกัน

ต่อมาเป็นฟีเจอร์ Portrait Studio ที่เราจะสามารถนำภาพถ่ายของเรามาแปลงเป็นภาพสไตล์ต่างๆ ได้หลากหลายรูปแบบด้วย Galaxy AI คราวนี้ได้มีการเพิ่ม Pet Portrait สำหรับภาพน้องหมา น้องแมว หรือสัตว์เลี้ยงของเราโดยเฉพาะ โดยขั้นตอนการใช้งานก็เหมือนกับการใช้ Portrait Studio ปกติเลยครับ จากนั้นให้เราทำการเลือกสไตล์ภาพที่เราอยากจะให้เจ้าสัตว์เลี้ยงของเราเป็น มีให้เลือกตั้งแต่ 3D Cartoon, Fisheye Lens หรือ Oil Painting เป็นต้น



- Live Effect Photo : เปลี่ยนภาพนิ่งธรรมดาให้กลายเป็นแบบสามมิติ
- Audio Eraser : ฟีเจอร์สำหรับลบเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการออกไปจากคลิปวิดีโอที่ถ่ายมา
- Chat Translation : สามารถพิมพ์แชทด้วยภาษาหลัก แล้ว Galaxy AI จะทำการแปลเป็นภาษาที่ต้องการให้โดยอัตโนมัติแบบพร้อมกดส่งทันที
- Interpreter : ล่ามแปลภาษาอัจฉริยะ สำหรับการสนทนาต่างภาษาแบบเรียลไทม์ที่ UI จะทำการแบ่งหน้าต่างออกเป็นสองฝั่ง
- Now Brief : รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในแต่ละช่วงเวลาของวัน เช่น ระดับสุขภาพ เพลย์ลิสต์เพลงแนะนำ สภาพอากาศ เป็นต้น โดยสามารถให้ Galaxy AI อ่านสรุปเป็นเสียงให้ได้ด้วย







กล้องหลักความละเอียด 200MP ครั้งแรกของ Z Fold Series
Samsung Galaxy Z Fold7 ยังคงมีจำนวนของชุดกล้องหลังเท่าเดิมคือ 3 ตัว ซึ่งประกอบด้วยกล้องหลัก กล้องอัลตราไวด์ และกล้องเทเลโฟโต้ แต่ได้มีการเพิ่มความละเอียดของเซนเซอร์กล้องหลักให้เท่ากับ Galaxy S Series จากความละเอียด 50MP ขึ้นมาเป็น 200MP นับเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟนจอพับ Galaxy Z Fold Series เลยครับ ที่มีความละเอียดของชุดกล้องหลังสูงมากขนาดนี้

สเปคกล้อง Samsung Galaxy Z Fold7
- กล้องหลัก 200MP
- กล้องอัลตราไวด์ 12MP
- กล้องเทเลโฟโต้ 10MP
การที่ Galaxy Z Fold7 หยิบเซนเซอร์ 200MP มาใช้ในครั้งนี้ ก็จะช่วยยกระดับภาพถ่ายให้มีความคมชัดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และมีความใกล้เคียงกับ Galaxy S24 Ultra หรือ Galaxy S25 Ultra มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเก็บรายละเอียดแสงและเงา การเก็บรายละเอียดของสีสัน โดยเฉพาะหากเราถ่ายด้วยโหมด 200MP รายละเอียดจะชัดแบบตาแตกจนสามารถซูมดูทุกๆ รายละเอียดในภาพได้เลยครับ











กล้องอัลตราไวด์และกล้องเทเลโฟโต้ ถึงแม้จะยังมีความละเอียดพิกเซลเท่าเดิมก็จริง แต่ด้วยระบบอัลกอริธึมประมวลผลภาพของ One UI 8 และพลังการประมวลผลรูปภาพจากชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite ก็ทำให้การเก็บรายละเอียดต่างๆ ของรูปภาพ เช่น สีสัน แสงและเงาของรูปภาพดียิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะกับการถ่ายภาพในโหมด Portrait ที่สามารถทำเอฟเฟคเบลอฉากหลังได้ดีเลยครับ
ตัวอย่างภาพจากกล้องเทเลโฟโต้ 10MP






ตัวอย่างภาพจากกล้องอัลตราไวด์ 12MP







และความพิเศษของการใช้สมาร์ทโฟนจอพับอย่างหนึ่งก็คือ การที่เราสามารถใช้ชุดกล้องหลังทั้งสามตัว ซึ่งมีความคมชัดที่ดีกว่ากล้องหน้ามาใช้สำหรับการเซลฟี่ ด้วยการใช้หน้าจอด้านนอกเป็นตัว Preview จากนั้นเมื่อเราทำการกางหน้าจอออกมา ก็จะสามารถเซลฟี่ด้วยกล้องหลังได้ง่ายๆ รองรับทั้งการกดปุ่มชัตเตอร์หรือใช้มือ (Palm Selfie) ก็ได้เช่นกัน



ตัวอย่างภาพเซลฟี่จากกล้องหลัง





สุดท้ายคือกล้องหน้าทั้งสองตัวครับ โดยกล้องเซลฟี่ที่จอด้านนอก (Cover Screen) มีความละเอียดอยู่ที่ 10MP และกล้องเซลฟี่ที่จอแสดงผลด้านในความละเอียด 10MP ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากกล้องซ่อนใต้หน้าจอมาเป็นกล้องเจาะรู (Infinity-O) ในรอบหลายปีนับตั้งแต่ Galaxy Z Fold3 ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดของแสงและเงาได้ดียิ่งขึ้น ภาพมีความเป็นวุ้นน้อยลง โดยเฉพาะการใช้งานกล้องในที่ที่มีแสงน้อย




เปรียบเทียบภาพกล้องหน้า Z Fold6 และ Z Fold7


การใช้งานถ่ายงานวิดีโอบน Galaxy Z Fold7
ในส่วนของการถ่ายวิดีโอบน Galaxy Z Fold7 ก็ได้มีฟีเจอร์ Smooth Zoom มาให้ใช้งานด้วย โดยสามารถใช้งานผ่านโหมดปกติได้เลย ไม่จำเป็นต้องเข้าโหมด Pro Video

แต่ใครที่อยากถ่ายวิดีโอแล้วนำไฟล์ไปใช้งานต่อแบบจริงจังขึ้นอีกระดับ ก็สามารถเข้าโหมด Pro Video เพื่อเลือกใช้โหมด LOG ที่ความละเอียด 4K 60FPS ได้อีกด้วย สามารถนำไฟล์วิดีโอไปปรับแต่งสีต่อในโปรแกรมตัดต่อได้อย่างง่ายดาย


ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite for Galaxy จอพับที่เร็วแรงที่สุด
สำหรับชิปเซ็ตประมวลผลที่เป็นหัวใจหลักของ Samsung Galaxy Z Fold7 ได้หยิบชิปเซ็ตเรือธงตัวท็อปรุ่นล่าสุดจากฝั่ง Qualcomm เป็น Snapdragon 8 Elite for Galaxy ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของความแรง และการประมวลผลที่รวดเร็วอยู่แล้ว แต่ใช้งานจริงจะเป็นยังไงเมื่อนำมาใส่ไว้ในสมาร์ทโฟนจอพับ วันนี้พวกเรา DroidSans เลยนำไปใช้ทดสอบกับ เกมยอดฮิต จนได้ผลออกมาประมาณนี้
Genshin Impact

ได้ใช้ชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง Snapdragon 8 Elite for Galaxy ทั้งที ก็ขอเริ่มต้นด้วยเกมกินสเปคอย่าง Genshin Impact กันก่อนเลย สำหรับการเล่นในระยะเวลากว่า 30 นาทีติดต่อกัน Galaxy Z Fold7 สามารถมอบประสบการณ์การเล่นที่ดีทั้งในแง่ของเฟรมเรต และการควบคุมความร้อน สำหรับการเล่นแบบปรับกราฟิกสูงสุด และเฟรมเรต 60FPS เรียกได้ว่าไม่มีปัญหาเลยครับ ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะมีความร้อนที่สูงขึ้น แต่ Performance และความเสถียรก็ไม่ได้ดรอปลงไปเลย


RoV


เกมระดับพื้นฐานอย่าง ROV ต้องขอบอกเลยว่าพลังของชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite นั้น แรงล้นเหลือเฟือครับ สามารถปรับการแสดงผล HD ไปที่ระดับสูงสุด เปิดเอฟเฟกต์หมอกหรือซอฟต์ไลท์ และ 60FPS เล่นแบบเฟรมเรตเกาะ 59-60FPS ได้อย่างต่อเนื่อง ลื่นไหลไม่มีสะดุด แม้จะเป็นจังหวะไฟต์หนักหรือมีการปล่อยเอฟเฟคกันแบบต่อเนื่อง
PUBG Mobile

PUBG Mobile รองรับการปรับตั้งค่ากราฟิกสูงสุดที่ Ultra HDR และเฟรมเรต Ultra (45FPS) แต่เราสามารถปรับกราฟิกให้ไปอยู่ที่ Smooth เพื่อดันให้เฟรมเรตทะลุไปได้สูงถึง Extreme+ (90FPS) ตลอดการเล่นสามารถทำเฟรมเรตได้เฉลี่ยอยู่ที่ 85-90FPS อาจจะมีในช่วงเริ่มต้นแมตช์ที่จะรู้สึกได้ถึงอาการกระตุกเพียงเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่นานก็กลับมาลื่นตามปกติ


สำหรับใครที่ต้องการเล่นเกมด้วยการใช้หน้าจอด้านใน แล้วเจอปัญหาอัตราส่วนหน้าจอแบบสี่เหลี่ยมทำให้ UI หรือการแสดงผลของเกมผิดเพี้ยน คอนเทนต์บนหน้าจอโดนครอปหายไปเยอะ เราก็สามารถทำการตั้งค่าได้ตามต้องการเลยครับว่าเมื่อกางหน้าจอแล้วเปิดแอปพลิเคชันแต่ละตัว ต้องการให้หน้าจอแสดงผลในอัตราส่วนเท่าไหร่ (ค่าเริ่มต้น, เต็มหน้าจอ, 4:3 และ 16:9)


ในเรื่องของอุณหภูมิถึงแม้ว่าชิปเซ็ต Snapdragon 8 Elite จะมีคสามแรงในการประมวลที่สูง แต่ก็ไม่ทำให้ตัวเครื่องร้อนขึ้นมาจนเยอะเกินไปแต่อย่างใดครับ โดยอุณหภูมิที่เราวัดได้สูงสุดขณะเล่นเกมจะอยู่ที่ประมาณ 41.1 – 42 องศา


เครื่องบางลง แต่แบตเตอรี่ไม่น้อยลง
ถึวแม้ตัวเครื่องจะบางลงเป็นอย่างมาก แต่ความจุแบตเตอรี่ของ Galaxy Z Fold7 ก็ยังคงมีขนาดอยู่ที่ 4,400mAh ไม่ได้โดนตัดทอนไปแต่อย่างใด และก็ยังคงรองรับความเร็วการชาร์จ 25W โดยรวมแล้วตัวเครื่องถือว่าสามารถใช้งานทั่วไปได้ปกติเต็มวัน ไม่ว่าจะเป็น ใช้งานแอปโซเชียลมีเดีย ใช้เพื่อทำงาน ดูคลิปวิดีโอ ฟังเพลง ไปจนถึงเล่นเกมบ้างระหว่างวันทั้งจอนอกและจอใน

สรุปการใช้งาน Samsung Galaxy Z Fold7
แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้ลองใช้งาน Galaxy Z Fold7 แต่ผู้เขียนก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รวมถึงความตั้งใจของ Samsung ที่พยายามจะทำตามเสียงเรียกร้องของกลุ่มผู้ใช้งานในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่บางเฉียบและน้ำหนักที่เบาลง ช่วยให้จับถือได้สะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
หน้าจอด้านนอกที่ถูกออกแบบให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้การแสดงผลดูเต็มตามากขึ้นและใช้งานได้ง่ายขึ้น ส่วนระบบปฏิบัติการ One UI 8 ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็ง ด้วยความเสถียรในระดับท็อปของฝั่ง Android และที่สำคัญคือแอปพลิเคชันหรือฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ ก็มีการปรับแต่งมาให้รองรับกับการใช้งานบนจอพับได้อย่างลื่นไหลและมีประสิทธิภาพอีกด้วย


สำหรับก้าวต่อไปของ Galaxy Z Fold Series สิ่งหนึ่งที่หลายคน—รวมถึงตัวผู้เขียนด้วย—อยากเห็นใน Galaxy Z Fold8 คือการปรับปรุงในเรื่องของแบตเตอรี่และความเร็วในการชาร์จ เพราะในยุคที่แอปพลิเคชันและฟีเจอร์ต่างๆ ใช้พลังงานแบตเตอรี่มากขึ้นเรื่อยๆ การมีแบตเตอรี่ความจุที่มากขึ้นก็จะช่วยให้สามารถใช้งานได้แบบต่อเนื่องตลอดวันมั่นใจยิ่งขึ้นครับ
และในขณะเดียวกัน ความเร็วในการชาร์จในปัจจุบันที่ยังคงอยู่ที่ 25W ซึ่งถือว่าน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับมาตรฐานของสมาร์ทโฟนระดับเรือธงในปี 2025 โดยเฉพาะในยุคที่พวกเราต่างก็มีไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ การต้องรอนานๆ เพื่อให้แบตเต็มอาจกลายเป็นจุดที่ทำให้ประสบการณ์ใช้งานสะดุดได้ ถ้า Samsung สามารถอัปเกรดทั้งขนาดแบตเตอรี่และความเร็วการชาร์จให้สมกับความเป็น Flagship Foldable ได้สำเร็จ เชื่อว่า Galaxy Z Fold8 จะกลายเป็นรุ่นที่ครบเครื่องและตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอนครับ
ราคาและการวางจำหน่าย

Samsung Galaxy Z Fold7 เปิดตัวมาพร้อมกับดีไซน์สีที่มีให้เลือกถึง 3 สีได้แก่ สีน้ำเงิน (Blue Shadow) สีเทา (Silver Shadow) สีดำ (Jedt Black) และสีพิเศษสำหรับการสั่งซื้อผ่าน Samsung Online Store โดยเฉพาะอีก 1 สี ได้แก่ สีเขียว (Mint Green) โดยมีราคาและตัวเลือกความจุดังนี้
- 12GB + 256GB : ราคา 67,900 บาท
- 12GB + 512GB ราคา 72,900 บาท
- 16GB + 1TB ราคา 85,900 บาท