ลูก ๆ เปิดตู้เซฟหลังงานศพพ่อ ทั้งครอบครัวช็อกจนพูดไม่ออก เมื่อเจอสมุดเล่มหนึ่งที่พ่อทิ้งไว้ เผยความลับที่ไม่เคยบอกใคร
เว็บไซต์ SOHA เผยเรื่องราวของครอบครัวชาวเวียดนาม ที่เปิดตู้เซฟหลังจากเสร็จจากการจัดงานศพคุณพ่อ กลายเป็นว่าได้รู้ความลับที่ทำเอาช็อกทั้งครอบครัว
โดยลูกคนโต เล่าว่า "ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเราทุกคนต่างคิดว่าในตู้เซฟนั้น พ่อเก็บสมุดบัญชีเงินฝาก เอกสารโฉนดบ้านที่ดินไว้เท่านั้น
พ่อของฉันจากไปในวันต้นฤดูหนาว อากาศเย็นยะเยือก แต่บรรยากาศในบ้านเล็ก ๆ ของเราในวันงานศพกลับเย็นชากว่า
หลังจากเสร็จพิธี พี่น้องสามคนของฉันได้นั่งรวมตัวกันในห้องของพ่อ ที่ซึ่งมีตู้เซฟใบหนึ่งที่ท่านล็อกแน่นไว้ตลอดหลายปี เราต่างคิดว่าในนั้นคงมีสมุดบัญชีเงินฝาก เอกสารบ้านที่ดิน ทรัพย์สมบัติของครอบครัวที่หลังจากพ่อจากไป แม่และลูก ๆ คงจะต้องแบ่งกันตามสิทธิและสายใยที่มี
ฉันในฐานะพี่คนโตได้รับหน้าที่เปิดตู้เซฟ มือสั่นเล็กน้อยขณะหมุนรหัสตามที่แม่ให้ไว้ เมื่อประตูตู้เปิดออก ภายในนั้นกลับไม่มีทอง ไม่มีสมุดบัญชีธนาคาร มีเพียงสมุดโน้ตเล่มเก่า ๆ ขอบกระดาษเหลืองซีด และแฟ้มเอกสารที่ถูกมัดไว้ด้วยเชือกสีแดง
เราเปิดดู หน้ากระดาษแรกเขียนไว้ว่า
“ถึงลูก ๆ ทั้งหลาย หากลูกได้อ่านบรรทัดนี้ นั่นแปลว่าพ่อไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว และนี่คือสิ่งที่พ่อเป็นหนี้ลูกมาตลอดชีวิต”
เราทุกคนเงียบงัน
ในหน้ากระดาษที่เขียนด้วยลายมือเรียบร้อย พ่อได้เล่าถึงช่วงชีวิตก่อนแต่งงานกับแม่ว่า ท่านเคยรักผู้หญิงอีกคน และมีลูกชายกับเธอ 1 คน แต่เพราะถูกครอบครัวบังคับให้แต่งงานกับแม่ ท่านจึงไม่กล้ารับลูกคนนั้นเป็นทางการ มีเพียงการส่งเงินเลี้ยงดูอยู่เงียบ ๆ ทุกปี
ต่อมาผู้หญิงคนนั้นแต่งงานใหม่ และลูกชายคนนั้นซึ่งเป็นพี่น้องต่างแม่กับพวกเรา ไม่เคยรู้เลยถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง
จากนั้นพ่อเขียนไว้ว่า “พ่อยกบ้านที่ต่างจังหวัดให้แม่และลูก ๆ แต่เงิน 500,000 ดองในสมุดบัญชี (ประมาณ 622,000 บาท) พ่อตั้งใจมอบให้ลูกชายอีกคนหนึ่ง พ่อรู้ว่าพวกลูกอาจโกรธ แต่พ่อไม่อยากพาเอาความลวงนี้ติดตัวไปถึงหลุมศพ”
แม่ของฉันถึงกับช็อกจนร้องไห้ไม่ออก น้องชายฉันลุกพรวดขึ้นตบโต๊ะ ดวงตาแดงก่ำ “ทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้?”
ส่วนฉัน ทำได้แค่ร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเรื่องสมบัติ แต่เพราะสิ่งที่เคยคิดว่าเป็น “ความจริง” กลับกลายเป็นแค่เรื่องที่พ่ออยากให้เราเชื่อ
หลายวันถัดมา บ้านเราราวกับคนหลงทาง แม่เงียบไปมาก พูดน้อยลง
ส่วนน้องสาวผู้เคยอ่อนโยนก็กลายเป็นคนเก็บกดและโมโหง่าย เธอบอกว่าไม่อยากเห็นใครที่ใช้นามสกุลของพ่ออีกต่อไป
แต่แล้วเมื่อเราได้เจอกับลูกชายคนนั้นของพ่อ ชายหนุ่มเรียบง่าย ใจดี และใช้ชีวิตอย่างสมถะ เราถึงได้เข้าใจ เขาไม่เคยรู้ความจริงเลย เมื่อได้รับสมุดบัญชีจากทนาย เขากลับขอคืนและพูดว่า “ผมไม่มีสิทธิ์จะรับสิ่งนี้เลยครับ”
คืนนั้น ฉันนั่งกอดแม่ แม่พูดว่า “จริง ๆ แล้วแม่ควรจะรู้ตั้งนานแล้ว พ่อของลูกไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริงเลย แต่ก็เถอะ บางที การให้อภัย อาจเป็นหนทางสุดท้ายที่จะรักษาสิ่งดีงามของคนที่จากไปไว้ได้”
ทุกวันนี้ ตู้เซฟใบนั้นไม่ได้เก็บสมบัติอีกต่อไป แต่มันเก็บสิ่งที่มีค่ากว่า คือ ความจริง และ ความกล้าหาญครั้งสุดท้ายของพ่อ
เพราะความลับ ต่อให้ซ่อนไว้แน่นหนาแค่ไหน ก็ไม่อาจซ่อนไปได้จนถึงวันตาย และบางครั้ง สิ่งสุดท้ายที่เราทิ้งไว้ให้คนที่รัก อาจไม่ใช่ทรัพย์สิน แต่คือ “การเลือกจะพูดความจริง” แม้จะสายเกินไป
หากยังมีโอกาส จงพูดความจริงในวันที่ยังมีลมหายใจ เพราะไม่ใช่ทุกคน จะให้อภัยได้หลังจากเราจากไปแล้ว"