1 สมุนไพรคู่ครัวมาตั้งแต่ยุคกรีกและโรมัน แพทย์โบราณ-งานวิจัย ยืนยันตรงกัน ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม
สมุนไพรในครัวเรือนที่ไว้วางใจได้นี้ ได้รับการยกย่องจากผู้รักษาโบราณมาหลายศตวรรษ ด้วยสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ทั้งช่วยเสริมความจำ เพิ่มสมาธิ และส่งเสริมการทำงานของสมองโดยรวม
ปัจจุบัน วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้พิสูจน์ความรู้โบราณนี้แล้ว งานวิจัยชี้ว่าสมุนไพรทรงพลังนี้อาจช่วยต่อสู้กับโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคสมองเสื่อมทั่วโลกได้อีกด้วย
สุดยอดสมบัติจากเมดิเตอร์เรเนียน
"โรสแมรี่" ไม้พุ่มเขียวมีกลิ่นหอมจากแถบเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเครื่องปรุงคู่ครัวมาตั้งแต่ยุคกรีกและโรมันโบราณ
ก้าวสู่ปัจจุบัน สมุนไพรอเนกประสงค์นี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ใบหอมกรุ่นของโรสแมรี่ ไม่ว่าจะสดหรือแห้ง ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องปรุง ชงเป็นชา หรือแช่ในน้ำมันอย่างแพร่หลาย
แต่การเติมโรสแมรี่ลงในอาหาร อาจช่วยได้มากกว่าการกระตุ้นรสชาติ
มีดีมากกว่าความหอม
โรสแมรี่ อุดมไปด้วยสารพฤกษเคมีที่ช่วยปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระ ความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน และการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวานชนิดที่ 2
โรสแมรี่ยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์อย่างโดดเด่น โดยถูกใช้ในยาแผนโบราณเพื่อรักษาแผลติดเชื้อและเร่งการสมานแผลมายาวนาน
โรสแมรี่เป็นแหล่งวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินบี6 ที่ดี พร้อมแร่ธาตุสำคัญอย่างเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียม โดยเฉพาะแมงกานีสซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับการทำงานของระบบเผาผลาญ
ด้วยคุณประโยชน์เหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์จึงกำลังศึกษาว่าโรสแมรี่ อาจช่วยเสริมสุขภาพตั้งแต่การบำรุงสายตา ผิวพรรณ การกระตุ้นการงอกของเส้นผม บรรเทาอาการหอบหืด ไปจนถึงชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
แต่หนึ่งในด้านที่น่าจับตามองที่สุดของงานวิจัยโรสแมรี่ คือเรื่องสมอง
อาหารบำรุงสมองตั้งแต่โบราณ
แม้นักวิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มค้นพบ แต่มนุษย์ใช้โรสแมรี่เพื่อเสริมพลังสมองมาหลายพันปีแล้ว
ย้อนกลับไปในยุคกรีกโบราณ นักเรียนและนักปราชญ์มักสวมพวงมาลัยที่ทำจากโรสแมรี่บนศีรษะในช่วงสอบ เพื่อช่วยกระตุ้นความจำและเพิ่มสมาธิ
หลายศตวรรษต่อมา เชคสเปียร์ยังขนานนามโรสแมรี่ว่า “สมุนไพรแห่งความทรงจำ”
ปรากฏว่าคำกล่าวเหล่านั้นอาจไม่ใช่แค่ความเชื่อ
จากการศึกษาหนึ่ง พบว่าผู้สูงอายุที่สูดดมกลิ่นโรสแมรี่ ทำคะแนนในการทดสอบความทรงจำล่วงหน้า ความสามารถในการจำสิ่งที่ต้องทำในเวลาที่เหมาะสม ได้ดีกว่าผู้ที่อยู่ในห้องไม่มีน้ำหอมอย่างมีนัยสำคัญ และยังมีความตื่นตัวมากขึ้นด้วย
“เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะความทรงจำล่วงหน้า เช่น การจำเวลาที่ต้องทานยาในแต่ละวัน เป็นสิ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิต” ดร.มาร์ค มอสส์ หัวหน้าภาควิชาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทัมเบรีย ผู้ร่วมวิจัยกล่าว
ไม่ใช่เพียงแค่ผู้สูงอายุเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์
การทดลองในปี 2018 พบว่านักศึกษามหาวิทยาลัยที่รับประทานอาหารเสริมโรสแมรี่ วันละ 500 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 1 เดือน มีความจำดีขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับยาหลอก นอกจากนี้ ยังรายงานว่ารู้สึกวิตกกังวลและซึมเศร้าน้อยลง รวมถึงนอนหลับได้ดีขึ้น สะท้อนว่าโรสแมรี่ไม่ได้ช่วยแค่เพิ่มความเฉียบคมของสมองเท่านั้น
ในการศึกษาหนึ่ง พนักงานที่ดื่มน้ำผสมโรสแมรี่เป็นประจำทุกวัน รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าจากงานลดลงมากกว่าพนักงานที่ไม่ได้ดื่ม
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโรสแมรี่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น ช่วยขจัดความง่วงงุนในจิตใจ
กลิ่นหอมผ่อนคลายของโรสแมรี่ ยังช่วยลดระดับคอร์ติซอล ฮอร์โมนความเครียดหลักของร่างกาย ขณะเดียวกัน งานวิจัยชี้ว่าสารโพลีฟีนอลในโรสแมรี่ อาจช่วยต้านภาวะซึมเศร้า โดยลดการอักเสบและส่งเสริมสุขภาพลำไส้
นอกจากนี้ โรสแมรี่ ยังมีสารอย่าง 1,8-ซิเนออล ที่ช่วยป้องกันการสลายตัวของอะเซทิลโคลีน สารเคมีสำคัญในสมองที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความจำ
ผู้เชี่ยวชาญจึงคาดว่าการรักษาระดับอะเซทิลโคลีนให้อยู่ในเกณฑ์ดี อาจช่วยให้สมองเฉียบคมแม้อายุมากขึ้น
นักวิจัยกำลังให้ความสนใจเป็นพิเศษกับกรดคาร์โนซิก สารต้านอนุมูลอิสระทรงพลังในโรสแมรี่ ที่ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์
ในปี 2025 นักวิจัยได้พัฒนาสารรูปแบบเสถียรชื่อ diAcCA ซึ่งผลการทดลองในห้องปฏิบัติการขั้นต้นแสดงผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ สารนี้ช่วยเพิ่มความจำ เสริมสร้างการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง และลดระดับโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับอัลไซเมอร์ เช่น อะไมลอยด์-เบต้า และทอว์
ที่น่าตื่นเต้นคือ diAcCA จะทำงานเฉพาะในบริเวณสมองที่เกิดการอักเสบ จึงอาจลดผลข้างเคียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการศึกษากับหนูทดลอง สารนี้ไม่แสดงอาการเป็นพิษ และช่วยพัฒนาความสามารถทางสมองอย่างชัดเจน ซึ่งสร้างความหวังสำหรับการทดลองในมนุษย์ในอนาคต
ความก้าวหน้านี้ถือเป็นข่าวดีครั้งใหญ่ เนื่องจากโรคอัลไซเมอร์กำลังกลายเป็นวิกฤติสุขภาพสาธารณะที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้สูงอายุทั่วโลก หากยังไม่มีการพัฒนาการรักษาหรือวิธีรักษาใหม่ ๆ