บอย ปกรณ์ - ภัทร์ เปิดใจครั้งแรกหลังสูญเสียคุณแม่งามทิพย์ เผยคุณแม่ป่วยเป็นมะเร็งที่ไต 6 ปี อยู่โรงพยาบาล 3 เดือนก่อนจากไปอย่างสงบ
วันนี้ (13 มิ.ย.) พิธีสวดพระอภิธรรม คุณแม่งามทิพย์ ฉัตรบริรักษ์ ณ ศาลาเกสนี วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน ซึ่งวันนี้เป็นการสวดพระอภิธรรมคืนสุดท้าย คนบันเทิงและญาติสนิทคนใกล้ชิดเดินทางมาร่วมไว้อาลัยและแสดงความเสียใจกับครอบครัวฉัตรบริรักษ์อย่างต่อเนื่องและส่งกำลังใจให้อย่างท่วมท้นเหมือนเช่นทุกวัน
โดยวันนี้ บอย ปกรณ์ และ ภัทร์ ฉัตรบริรักษ์ ได้เปิดใจครั้งแรกหลังสูญเสียคุณแม่งามทิพย์ ซึ่งทั้งสองคนได้เป็นตัวแทนครอบครัวขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานของคุณแม่งามทิพย์
"ก่อนอื่นที่อยากจะพูดเลย อยากจะขอบคุณทุกคนที่มาในงานขอบคุณมากๆ ครับ ผมเดินไปบอกแม่ทุกวันว่าคนรักแม่เยอะมากๆ เลย ดีใจแทนแม่มากๆ ไม่คิดว่าจะมากันเยอะ ขอบคุณพี่ๆ สื่อมวลชนด้วยทุกท่าน ไม่ได้มาเป็นแค่สื่อมวลชนมาช่วยงานด้วยขอบขอบคุณหลายๆ ยคนที่อาจจะไม่ได้มาหลายคนเป็นกำลังใจให้ครอบครัว อยากจะบอกว่าพวกเราอาจจะไม่ได้มีเวลาอ่านมาก แต่เห็นคนคอมเม้นต์เยอะมากๆ เห็นถึงความรักที่มีให้กับแม่ ให้กับวันใหม่ด้วย"
"เป็นห่วงวันใหม่ค่อนข้างเยอะมากๆ ขอบคุณจากใจจริงๆ ครับ"
"ความจริงหลายๆ คนอาจจะสงสัย อาจจะตกใจเพราะว่าไม่มีใครเคยทราบมาก่อนว่าคุณแม่ไม่สบาย ความจริงแล้วคุณแม่ไม่สบายมา 6 ปีแล้ว ด้วยอาการของโรคมะเร็งเป็นมะเร็งที่ไต มีช่วงของที่โรคควบคุมอยู่ได้ กับช่วงที่โรคลุกลามบ้างจนถึงตอนนี้ก็ 6 ปี"
"ช่วงสุดท้ายของคุณแม่ท่านมีบุญ คุณแม่จากไปอย่างสงบ ไม่เจ็บไม่ปวดไม่ทรมานครับ"
"ไม่ได้มีการคุยเป็นกิจลักษณะเท่าไหร่ ช่วงท้ายๆ ได้มีการคุยกันเยอะหน่อยคุณแม่จะฝากอะไร จะเป็นการคุยแบบผ่านๆ ไม่ได้เรียกมานั่งรวมตัวคุยกัน ที่ภัทร์บอกว่าปุ๊บปับมาก แต่ว่าไม่ได้ปุบปับขนาดนั้น แต่เป็นช่วงที่คุณแม่มาอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งหมด3 เดือน"
"คือก่อนหน้านี้มีสัญญาณที่ไม่ว่าจะเป็นจากทางคุณหมอ หรือว่าจากตัวอาการเองก็ดี มันคล้ายจะบ่งชี้ว่าคุณแม่อาจจะมีเวลาเหลือไม่มากเท่าไหร่ ด้วยความที่เราอาจจะไม่ได้นั่งถามแม่ หรือมานั่งจากลากัน ใจนึงเราก็รู้ ใจนึงเราก็อยากให้แม่อยู่ไปนานๆ ให้ได้นานที่สุด เราไม่อยากมีโมเมนต์มานั่งสั่งลาเป็นกิจลักษณะ ผมเองมีโอกาสได้นั่งคุยกับแม่ แต่ไม่ได้เป็นกิจลักษณะก่อนที่แม่จะเข้าโรงพยาบาลนั่งกันที่โต๊ะกินข้าวแล้วก็คุยกันแบบแม่ลูกคุยกัน"
"ความจริงแม่เขาสู้ครับ แต่ท่านปล่อยวางและทำใจได้ ถ้าเป็นแต่ก่อนแม่อาจจะมีห่วงมากกว่านี้ แต่ตอนนี้แม่เห็นว่าสามคนดูแลตัวเองกันได้ ดูแลวันใหม่ได้ เขาหมดห่วงแล้ว สิ่งที่เสียดายคืออาจจะไม่ได้ใช้เวลามากกับลูกๆ มากกว่านี้ ลูกให้กำลังใจแม่ตลอดให้สู้ ผมก็สู้กับแม่ แม่จะรักษาค่าใช้จ่ายยังไง ถ้าแม่สู้พวกเราสู้อยู่แล้ว"
"ตอนนั้นวันใหม่เขาก็พอจะรับรู้มาบ้างแล้ว เราอยากให้น้องไม่อยากให้วันนึงเกิดเหตุปุบปับแล้วน้องตกใจ พยายามจะอธิบายกับเขาให้เขาเข้าใจถึงสถานการณ์ว่าเค้าเป็นยังไง แต่เราอาจจะไม่ได้แจ้งตรงๆ เราพยามจะบอกอ้อมๆ ให้เข้าใจที่สุดแต่ด้วยความที่เขาเป็นเด็กเขาฟังและเขาเข้าใจ แต่ภาพเรากับภาพเขาไม่เหมือนกันสำหรับเด็ก ทุกคนเห็นวันใหม่ที่เขาอาจจะโต จริงๆ เขายังเป็นเด็กมาก ช่วงหลังมีการบอกน้องเพราะว่ามีการไปกลับที่โรงพยาบาลอยู่ทุกวัน แต่เขาจะรู้แค่ว่าแม่ไม่สบาย แต่เขาไม่เคยรู้ ดีเทลแบบลึกๆ เพราะเราไม่เคยบอกเขา แต่เราจะค่อยๆ บอกอย่างเช่นตอนที่แม่เข้าโรงพยาบาลเมื่อสามเดือนที่แล้ว เราก็บอกว่าวันใหม่วันนี้คุณแม่ไม่ค่อยสบายถ้าตอนนี้วันใหม่มีอะไรอยากจะบอกแม่ก็บอกเลย เหมือนเวลาคุณแม่เขาไม่ได้เหลือเยอะแล้ว"
"ช่วงที่ผ่านมามันเกิดช่วงที่เราสามคน บอย หน่อง ภัทร์ เป็นช่วงวิกฤตหลายๆ ครั้งที่เราต้องมานั่งตัดสินใจกันคุยกันว่าเราจะไปทางไหนกันต่อ ช่วยแม่ไปทางไหนต่อ เราจะหาทางที่ดีที่สุดให้แม่ ช่วงท้ายท้ายเป็นสัญญาณมากๆ แล้วที่แม่จะเหลือเวลาอีกไม่นาน"
"วันใหม่เสียใจ วันที่เกิดเหตุจริงๆ เขาก็รับไม่ได้อยู่ดี คำว่าอีกไม่นานเขาก็คิดว่าอีกหลายเดือน วันแรกวันใหม่ร้องไห้เยอะ เขาตกใจเขาอาจจะพอรู้แล้วว่ามันเกิดขึ้น แต่พอในสถานการณ์จริงความรู้สึกมันมากกว่านั้น เขาอาจจะควบคุมไม่ได้ เพราะเขาเป็นเด็กด้วย ถามวันใหม่หลังจากผ่านมาแล้วหลายๆ วันทำไมวันใหม่ร้องไห้เยอะ เขาบอกเขาไม่เคยเจอความเสียใจแบบนี้ เขาพูดกับผมคำนึงว่าทำไมมันเสียใจขนาดนี้ล่ะ เพราะเขาไม่เคยเจอประสบการณ์แบบนี้ แต่ตอนนี้เขาเข้มแข็งเยอะครับ"