งานวิจัยจากฮาร์วาร์ด เตือน 7 พฤติกรรม “ปกติ” ของพ่อแม่ที่อาจทำให้ IQ ของลูกลดลงอย่างรุนแรง
ตลอดช่วงพัฒนาการทั้งด้านร่างกายและความคิด เด็กมักได้รับอิทธิพลอย่างง่ายดายจากพฤติกรรมและนิสัยของผู้ใหญ่
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า สภาพแวดล้อมภายในครอบครัวมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างและพัฒนาสติปัญญาของเด็ก โดยตลอดกระบวนการเติบโตทั้งด้านร่างกายและความคิด เด็กจะได้รับอิทธิพลจากพฤติกรรมและนิสัยของผู้ใหญ่อย่างง่ายดาย
ซึ่งต่อไปนี้คือ 7 พฤติกรรมที่พบได้บ่อยของพ่อแม่ ที่อาจเผลอทำให้การพัฒนาสมองของลูกถดถอยโดยไม่รู้ตัว
-
มองข้ามมื้อเช้าของลูก
ในหลายครอบครัวสมัยใหม่ที่ต้องเร่งรีบกับภาระงาน มักไม่สะดวกตื่นเช้ามาเตรียมอาหาร หรือเลือกให้ลูกกินมื้อเช้าแบบง่าย ๆ ขาดสารอาหารหรือไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งพฤติกรรมนี้อาจทำให้สมดุลทางโภชนาการและสุขภาพของเด็กเสียไปได้
เด็กในช่วงอายุ 0–15 ปีอยู่ในวัยที่ร่างกายและสมองกำลังเจริญเติบโต หากไม่ได้รับอาหารเช้าอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะเหนื่อยล้า ไม่มีสมาธิ ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของสมองและพัฒนาการด้านความคิด นอกจากนี้ การไม่กินอาหารเช้ายังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระเพาะและปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย
-
นอนดึก
วิถีชีวิตในยุคปัจจุบันทำให้พ่อแม่หลายคนต้องทำงานจนดึกดื่น ส่งผลให้ตารางชีวิตของลูกถูกรบกวนตามไปด้วย เด็กจำนวนไม่น้อยจึงติดนิสัยนอนดึกตามผู้ใหญ่ บางคนแม้พ่อแม่เข้านอนแล้ว ก็ยังแอบเล่นโทรศัพท์หรือดูการ์ตูนต่อ
การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลให้เด็กตื่นเช้าได้ยาก อารมณ์ไม่สดใส และขาดสมาธิ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชี้ว่า หากเด็กมีพฤติกรรมพักผ่อนไม่เป็นเวลาอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้พลังงานลดลง ความจำแย่ลง ขาดแรงจูงใจในการเรียน และสมาธิก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
-
ดุด่าลูกบ่อยเกินไป
เมื่อลูกทำผิด พ่อแม่หลายคนมักตอบสนองด้วยการตะคอก ดุด่า หรือวิจารณ์อย่างรุนแรง แต่จากงานวิจัยต่อเนื่องนานกว่า 75 ปีของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า เด็กที่ถูกดุด่าบ่อยครั้ง มักมีความจำถดถอย การคิดและการตอบสนองช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน
นอกจากนี้ คำพูดรุนแรงยังสร้างบาดแผลทางใจ ทำให้เด็กรู้สึกด้อยคุณค่า ขาดความมั่นใจในตัวเอง และค่อยๆ ถอยห่างจากพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว
-
ไม่ส่งเสริมการอ่านหนังสือ
พ่อแม่หลายคนยุ่งกับงานจนละเลยนิสัยการอ่านหนังสือ เมื่ออยู่บ้านก็มักใช้เวลาไปกับการดูโทรทัศน์หรือเล่นโทรศัพท์ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อบรรยากาศการเรียนรู้ของลูกโดยตรง
หากเด็กไม่ได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ก็จะมีปัญหาเรื่องสมาธิ และพัฒนาการด้านความคิดก็จะถดถอย นักวิจัยยังชี้ว่า แม้เด็กจะมีศักยภาพสูง แต่หากไม่ได้รับการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและใฝ่รู้ ก็ยากที่จะดึงความสามารถเหล่านั้นออกมาใช้ได้เต็มที่
-
ห้ามหรือกดดันอารมณ์ของลูกบ่อยเกินไป
เด็กยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีเหมือนผู้ใหญ่ เมื่อลูกร้องไห้ พ่อแม่บางคนอาจขู่หรือสั่งให้หยุดร้องทันที ทั้งที่ความจริงแล้ว การร้องไห้คือวิธีแสดงออกและระบายความรู้สึกตามธรรมชาติของเด็ก
หากพ่อแม่พยายามกดทับอารมณ์เหล่านี้ เด็กจะรู้สึกอึดอัด ไม่เป็นตัวของตัวเอง และอาจสะสมจนกลายเป็นปัญหาทางจิตใจในระยะยาว นอกจากนี้ การไม่ได้ระบายความรู้สึกยังส่งผลต่อสมาธิและการคิดวิเคราะห์ของเด็กอีกด้วย
-
ขาดการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและส่งเสริมพัฒนาการสมองของเด็ก หากพ่อแม่ขาดความกระตือรือร้นในการออกกำลังกาย เด็กก็จะไม่สามารถสร้างนิสัยรักการเคลื่อนไหวและเล่นกีฬาได้
เมื่อร่างกายไม่แข็งแรง เด็กก็จะขาดพลังในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะต่างๆ ดังนั้น พ่อแม่จึงควรเป็นตัวอย่างที่ดี ช่วยจุดประกายความสนใจและสร้างนิสัยออกกำลังกายให้แก่ลูกตั้งแต่เนิ่นๆ
-
วิจารณ์ลูกด้วยคำพูดในแง่ลบบ่อยครั้ง
พ่อแม่หลายคนมักวิจารณ์หรือตำหนิลูกเพื่อหวังให้ลูกมุ่งมั่นและพยายามมากขึ้น แต่จากงานวิจัยพบว่าวิธีนี้เป็นการสอนที่ผิดและไม่เป็นวิทยาศาสตร์
คำพูดเชิงลบซ้ำๆ อาจทำลายความนับถือตนเองของเด็ก เมื่อจิตใจบอบช้ำ เด็กมักคิดลบ และในระยะยาว IQ และ EQ ก็อาจลดลงได้
เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างสมบูรณ์ทั้งทางสติปัญญาและอารมณ์ พ่อแม่จึงควรสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และความเคารพ การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ในทุกวัน เช่น การทานอาหารเช้าด้วยกัน อ่านหนังสือก่อนนอน หรือรับฟังความรู้สึกของลูกอย่างจริงใจ ล้วนส่งผลต่ออนาคตของลูกในทางบวกอย่างยิ่ง