ผัวเมียมีก้อนเนื้อในตับ ทั้งที่ไม่ดื่ม-ไม่สูบ หมอเตือน อย่าประหยัดจนต้องแลกด้วยชีวิต

ผัวเมียอายุน้อยกอดกันร้องไห้ ตรวจพบก้อนเนื้อในตับทั้งคู่ แม้ไม่ดื่ม-ไม่สูบ หมอเจอสาเหตุจาก "อาหาร" อย่าประหยัดจนต้องแลกด้วยชีวิต

ที่คลินิกของ นายแพทย์ฮา ไฮ หน่ำ (Hà Hải Nam) รองหัวหน้าแผนกศัลยกรรมช่องท้อง 1 โรงพยาบาล K (เวียดนาม) เคยมีผู้ป่วยสองรายเป็นสามีภรรยาอายุราว 30 ปี เข้ารับการตรวจ เพราะรู้สึกเบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย และน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ทำให้แพทย์ประหลาดใจก็คือ ทั้งคู่มีวิถีชีวิตที่สุขภาพดี ไม่เคยสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือมีประวัติป่วยเกี่ยวกับตับ แต่ผลการตรวจกลับพบก้อนเนื้อในตับ ต้องสงสัยว่าเป็นมะเร็ง

ฝ่ายสามีเริ่มมีอาการก่อน โดยเขารู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ ทั้งที่การกินอยู่เหมือนเดิม ขณะที่ภรรยาก็มีอาการคล้ายกัน พวกเขาคิดว่าแค่ทำงานหนักเกินไป เดี๋ยวพักผ่อนก็คงดีขึ้น จึงละเลยสัญญาณอันตราย

จนเมื่อสามีเริ่มรู้สึกเจ็บแน่นที่ด้านขวาของช่องท้อง จึงไปโรงพยาบาลเอกชนตรวจ พบก้อนเนื้อขนาด 6 ซม.ในตับ แพทย์จึงแนะนำให้รีบส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านมะเร็ง

เมื่อภรรยาเดินทางไปตรวจพร้อมสามีที่คลินิกของหมอหน่ำ แพทย์สังเกตเห็นอาการผิดปกติ เช่น ริมฝีปากคล้ำ ผิวแห้ง ตาเหลือง จึงแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม และพบผลช็อกยิ่งกว่า คือในตับของภรรยาก็มีก้อนเนื้อขนาดใหญ่เช่นกัน ซึ่งกำลังเบียดท่อน้ำดี

ทั้งคู่ถึงกับร้องไห้โฮ ยืนยันว่าไม่เคยมีโรคตับ ไม่เคยแตะเหล้า บุหรี่ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงใดๆ ตั้งแต่เด็กทั้งสองก็แข็งแรงดี แทบไม่เคยเจ็บป่วย และเคยติดโควิดแต่หายได้โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน

ต้นตอมาจากอาหาร

ระหว่างการพูดคุย แพทย์เริ่มสังเกตเห็นจุดผิดปกติบางอย่าง ครอบครัวนี้มีแผงขายผลไม้ในตลาดค้าส่งฮานอย ซึ่งบางครั้งผลไม้เน่าเสีย พวกเขาจะตัดส่วนที่เสียทิ้ง แล้วเก็บส่วนที่ดีแช่ตู้เย็นไว้กินต่อ เพื่อประหยัด

นอกจากนี้ ขณะขายของ ทั้งคู่ก็มักกินเมล็ดทานตะวันและเมล็ดฟักทองแก้เบื่อ แต่เก็บไว้อย่างไม่เหมาะสม ใส่กล่องโดยไม่ปิดฝา และกินต่อเนื่องหลายวัน

นิสัยที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตรายเหล่านี้ อาจเป็นต้นเหตุของโรคร้ายแรง แพทย์หน่ำสงสัยว่า อะฟลาทอกซิน (aflatoxin) คือสาเหตุหลัก ซึ่งเป็นสารพิษร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อราบนอาหารที่เสีย เช่น ผลไม้ช้ำ ถั่วลิสงขึ้นรา เมล็ดแห้งที่เก็บไว้นาน ขนมปังเสีย หรือแม้แต่เครื่องครัวไม้ที่ขึ้นรา เช่น ตะเกียบ เขียง

ตามเอกสารทางการแพทย์ ระบุว่า การได้รับอะฟลาทอกซินเพียง 1 มิลลิกรัม โดยเฉพาะชนิด B1 ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดมะเร็งตับได้ หากรับเข้าไปถึง 20 มิลลิกรัมในครั้งเดียว อาจเสียชีวิตทันที สารพิษนี้จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ตับเมื่อรวมตัวกับเอนไซม์ในตับ และเป็นสาเหตุของ 5–15% ของผู้ป่วยมะเร็งตับทั่วโลก

เรื่องราวของคู่สามีภรรยาคู่นี้ จึงเป็นคำเตือนถึงอันตรายจาก “การประหยัดแบบผิดๆ” ที่พบได้ทั่วไปในหลายครอบครัวเวียดนาม เพราะพยายามประหยัดในยุคค่าครองชีพสูง โดยไม่รู้ว่าความประหยัดบางอย่างอาจต้องแลกด้วยสุขภาพที่ประเมินค่าไม่ได้

“อย่าประหยัดจนต้องแลกด้วยชีวิต” หมอหน่ำกล่าวอย่างสะเทือนใจ หลังเห็นสองสามีภรรยากอดกันร้องไห้ในห้องตรวจ