รู้หรือไม่... สมองของผู้ชายและผู้หญิง มีโครงสร้างแตกต่างกัน ทำให้มีแนวโน้มถนัดในด้านต่างกัน แล้วทำไมผู้ชายจึงมักเป็น "อัจฉริยะ" หรือ "ล้มเหลว" มากกว่าผู้หญิง?
คำถามว่า "ใครฉลาดกว่าระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง" กลายเป็นประเด็นถกเถียงมานานในห้องเรียน ที่ทำงาน และบนโลกออนไลน์ แต่ผลการศึกษาทางจิตวิทยากลับให้คำตอบที่เหนือความคาดหมายคือ ไม่มีใครฉลาดกว่าใครอย่างชัดเจน เพียงแค่ "ฉลาดกันคนละด้าน"
ความฉลาดคืออะไร? ก่อนจะฟันธงว่าใครฉลาดกว่า ต้องเข้าใจก่อนว่า “ความฉลาด” ในเชิงจิตวิทยานั้นครอบคลุมหลายด้าน ไม่ได้วัดแค่ผลสอบหรือความสามารถทางคณิตศาสตร์เท่านั้น โดยทั่วไปความฉลาดแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท เช่น
-
ความสามารถทางภาษา: การสื่อสาร พูด เขียน และเข้าใจคำศัพท์
-
ความสามารถทางคณิตศาสตร์และตรรกะ: การคิดอย่างเป็นระบบ การคำนวณ และการวิเคราะห์ปัญหา
-
ความสามารถทางมิติสัมพันธ์: การรับรู้ทิศทาง การตีความแผนที่ การจินตนาการวัตถุหมุน
-
ความเข้าใจผู้อื่น : ความเห็นอกเห็นใจ การสื่อสารทางอารมณ์
-
การควบคุมตนเอง : ความสามารถในการจดจ่อ ความจำ และควบคุมอารมณ์หรือแรงกระตุ้น
สมองของผู้ชายและผู้หญิงมีโครงสร้างแตกต่างกัน ทำให้มีแนวโน้มถนัดในด้านต่างกัน ซึ่งอาจเรียกได้ว่า "ต่างกันแต่ไม่ด้อยกว่ากัน" และเนื่องจากมีจุดเด่นคนละแบบ เมื่อทำงานร่วมกัน จะช่วยเสริมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าแข่งขันกัน
โดยงานวิจัยด้านประสาทวิทยาเผยว่า สมองของผู้ชายโดยเฉลี่ยใหญ่กว่าผู้หญิงประมาณ 10% โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิดเชิงมิติและการเคลื่อนไหว เช่น กลีบข้าง (parietal lobe) และสมองน้อย (cerebellum)
ในทางตรงกันข้าม สมองของผู้หญิงมีการเชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและขวามากกว่าถึง 20% ทำให้ผู้หญิงมักเก่งด้านการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เข้าใจภาษา และแสดงอารมณ์ได้ดี
แล้วทำไมผู้ชายจึงมักเป็น "อัจฉริยะ" หรือ "ล้มเหลว" มากกว่าผู้หญิง? นักจิตวิทยาพบว่า การกระจายของไอคิว (IQ) ในเพศชายมีแนวโน้มจะ "สุดโต่ง" กว่าเพศหญิง กล่าวคือ ผู้ชายบางคนมีไอคิวสูงมากในระดับอัจฉริยะ ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้ชายอีกกลุ่มหนึ่งที่มีไอคิวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก ตรงกันข้าม ผู้หญิงมีการกระจายของไอคิวที่ "สมดุล" มากกว่า
นั่นอาจอธิบายได้ว่าทำไม ผู้ชายมักได้รางวัลระดับโลกอย่างโนเบลมากกว่า แต่ผู้หญิงกลับมีแนวโน้มเรียนจบมหาวิทยาลัยมากกว่า, มีเกรดเฉลี่ยดีกว่า และสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้มากกว่าประมาณ 10-15%
โดยความแตกต่างนี้เริ่มตั้งแต่ในครรภ์ นักวิทยาศาสตร์พบว่า ความแตกต่างของสมองชาย-หญิงเริ่มตั้งแต่เดือนที่ 4–7 ของการตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนเพศชาย (เช่น เทสโทสเทอโรน) จะไปกระตุ้นให้สมองของทารกชายพัฒนาในทิศทางเฉพาะ ถ้าไม่มีฮอร์โมนดังกล่าว สมองจะพัฒนาเป็นแบบหญิงโดยอัตโนมัติ สิ่งนี้ชี้ว่า ความแตกต่างด้านโครงสร้างและหน้าที่ของสมองมีต้นกำเนิดจากชีววิทยา ไม่ใช่แค่การเลี้ยงดูหรือวัฒนธรรม
สรุปแล้วใครเก่งเรื่องอะไร?
-
ผู้หญิงมักเก่งด้านการสื่อสาร อารมณ์ และการจัดการหลายอย่างพร้อมกัน
-
ผู้ชายมีแนวโน้มจะเก่งเรื่องตรรกะ มิติสัมพันธ์ และการคิดเป็นระบบ
แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทักษะต่างๆ สามารถ "ฝึกฝน" ได้ ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเพศอีกต่อไป โลกยุคใหม่ต้องการความสามารถรอบด้าน เมื่อยุคดิจิทัลความฉลาดไม่ได้วัดจากไอคิวอย่างเดียวอีกต่อไป แต่รวมถึงความฉลาดทางอารมณ์ (EQ), ความสามารถในการปรับตัว, การทำงานร่วมกับผู้อื่น และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งหลายด้านเหล่านี้ ผู้หญิงมีความโดดเด่นอยู่แล้ว และกำลังกลายเป็นทักษะที่ตลาดงานให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
ท้ายที่สุดจึงอาจสรุปได้ว่า ไม่มีใคร "ฉลาดกว่า" อย่างแท้จริง ดังนั้น แทนที่จะมองว่าใครฉลาดกว่าใคร เราควรยอมรับว่า "ผู้ชายและผู้หญิงมีความฉลาดคนละแบบ" และเมื่อนำความถนัดของแต่ละเพศมาผสมผสานกัน จะทำให้เกิดพลังแห่งความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แนวคิด "พหุปัญญา" (Multiple Intelligences) โดย Howard Gardner ก็ชี้ว่า มนุษย์เรามีความฉลาดหลากหลายด้าน และควรพัฒนาให้รอบด้าน ไม่จำกัดแค่แบบเดียว