พิธีกรสาว เปิดสูตรลดน้ำหนัก "กฎมื้อเย็น" กินยังไงให้ผอมลง 50 กก. ผู้ชมตะลึงร่างใหม่!

3 weeks ago 12
❤️ ARTICLE AD BOX ❤️

พิธีกรสาวไต้หวัน แชร์ต่อให้ฟรีๆ "กฎมื้อเย็น" เผยไม่กั๊ก สูตรลดน้ำหนักที่คนสงสัย กินอย่างไรให้ผอมลง 50 กก.

MC เสี่ยว เจิ้น พิธีกรที่เกิดในปี 1984 มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงของไต้หวัน เคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากกับการลดน้ำหนัก กระทั่งในช่วงปลายปี 2017 เธอลดน้ำหนักจาก 105 กิโลกรัม เหลือเพียง 55 กิโลกรัม อัตราส่วนไขมันในร่างกายลดจาก 41% เหลือ 19.7% โดยเจ้าตัวเชื่อว่าความสำเร็จนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการควบคุมอาหาร 90% และอีก 10% มาจากการออกกำลังกาย

เสี่ยวเจิ้นแบ่งปันว่า ตั้งแต่ตัดสินใจลดน้ำหนัก เธอก็เริ่มปฏิบัติตาม "กฎการทานอาหารเย็นเร็ว" โดยเปลี่ยนมาทานในเวลาที่เร็วขึ้น เน้นบริโภคผักผลไม้ แหล่งโปรตีนที่มีไขมันต่ำ จำกัดแป้งให้มากที่สุดในมื้อสุดท้ายของวัน ซึ่งวิธีนี้ทำให้เธอลดน้ำหนักลงได้ครึ่งหนึ่ง เนื่องจากร่างกายมีเวลาพอในการเผาผลาญพลังงาน และจำกัดการสะสมของแคลอรีส่วนเกินที่กลายเป็นไขมัน

ทั้งนี้ เธอที่ไม่ได้ตัดแป้งออกจากมื้ออาหารทั้งหมด แต่เลือกทานข้าวกล้องหรือธัญพืชในปริมาณที่พอเหมาะ และมักจะทานในช่วงกลางวัน หรือหลังจากการออกกำลังกาย 30 นาที ในขณะเดียวกันเธอก็หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย และหากรู้สึกหิวมากในตอนกลางคืน จะดื่มนมถั่วเหลืองไม่ใส่น้ำตาล 1 แก้ว ซึ่งช่วยเสริมโปรตีนให้กับกล้ามเนื้อ และมีแคลอรีต่ำ ไม่ส่งผลกระทบมากต่อเป้าหมายการลดน้ำหนัก

เธอยังใช้วิธี "เคี้ยวให้ละเอียด" ซึ่งช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น และทำให้ความรู้สึกอิ่มนานขึ้น โดยเริ่มจากการทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงก่อน แล้วค่อยตามด้วยโปรตีน และสุดท้ายคือลดแป้ง วิธีนี้ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ และช่วยลดไขมันและลดน้ำหนักได้ดีขึ้น

เซียวเจิ้นกล่าวว่า ตลอดช่วงการลดน้ำหนัก เธอยังคงมีการนัดพบเพื่อนและทานอาหารร่วมกัน หากต้องเลือกระหว่างอาหารทอดและอาหารตุ๋น เธอจะเลือกอาหารทอด เพราะอย่างน้อยก็สามารถแยกเปลือกกรอบออกมาทิ้งได้ ในขณะที่อาหารตุ๋น/เคี่ยวจะดูดซึมเครื่องเทศและน้ำซอสทั้งหมด ทำให้มีแคลอรีสูงมาก

ทั้งนี้ เสี่ยวเจิ้นเคยเผชิญกับปัญหาน้ำหนักตัวที่เกิน 100 กิโลกรัม เนื่องจากโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเธอ อีกทั้งบางครั้งยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เนื่องจากอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อน ทำให้ต้องพึ่งพาครอบครัวในหลายๆ อย่าง เพราะเมื่ออยู่ที่โรงพยาบาลแทบจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เหตุการณ์นี้เองทำให้เธอตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ

Read Entire Article