พ่อแม่ต้องรู้! อาหารโปรดของเด็กๆ ที่แท้จริงแล้วคือ "ราชาแห่งการทำลายตับ"

"ราชาแห่งการทำลายตับ" ของหวานโปรดที่เด็ก ๆ ติดใจ แท้จริงคือระเบิดเวลา ทำลายตับ หัวใจ และสุขภาพทั้งชีวิต

หลายคนมักคิดว่าการกินของหวานมากไปจะทำให้เด็กอ้วนหรือฟันผุ แต่จริง ๆ แล้ว น้ำตาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟรุกโตส (น้ำตาลในผลไม้ที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม) สามารถทำลายตับของเด็กได้โดยตรง

จากการศึกษาทั่วโลกพบว่า ฟรุกโตสมีแนวโน้มที่จะทำให้ไขมันสะสมในตับได้มากกว่ากลูโคสถึง 2-3 เท่า เมื่อเด็กบริโภคขนมหวาน, เครื่องดื่มน้ำอัดลม, หรือน้ำผลไม้เข้มข้นที่เต็มไปด้วยน้ำเชื่อมข้าวโพด น้ำเชื่อมฟรุกโตส หรือน้ำผลไม้สกัดเข้มข้น ตับจะทำงานหนักเกินไปและเกิดการสะสมไขมันในที่สุด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับ, โรคเบาหวาน, และแม้กระทั่งตับแข็งได้

การสำรวจเด็กเกือบ 2,000 คนแสดงให้เห็นว่า เด็กที่ดื่มเครื่องดื่มรสหวานจัดตั้งแต่ยังเล็กมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคไขมันพอกตับชนิดที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์เมื่อเข้าสู่วัยเรียน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมการกินตั้งแต่วัยเด็กสามารถทิ้งร่องรอยของโรคไปตลอดชีวิตได้

น้ำตาลไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อตับเท่านั้น แต่ยังเป็น "ตัวการ" ของโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย เด็กที่บริโภคน้ำตาลมากเกินไปมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับ "สี่สูง" ได้แก่ ระดับน้ำตาลในเลือดสูง, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูง และกรดยูริกสูง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ทำลายระบบหัวใจและหลอดเลือด

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2024 ชี้ให้เห็นว่า หากจำกัดปริมาณน้ำตาลในช่วง "1,000 วันแรกของชีวิต" (ตั้งแต่ในครรภ์จนถึงอายุ 2 ปี) เมื่อเติบโตขึ้น เด็กจะมีความเสี่ยงลดลง 35% สำหรับโรคเบาหวานประเภท 2 และ 20% สำหรับโรคความดันโลหิตสูง อีกทั้งช่วงเวลาที่โรคจะแสดงอาการก็ช้าลง 2-4 ปี เมื่อเทียบกับผู้ที่เริ่มบริโภคของหวานตั้งแต่เนิ่น ๆ

Polina Tankilevitch

ในทางตรงกันข้าม เด็กที่บริโภคน้ำตาลมากตั้งแต่ยังเล็กก็เหมือนกับการกลืน "ระเบิดเวลา" เข้าไปในตัว ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคในวัยผู้ใหญ่ได้เร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น

จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) และคำแนะนำด้านโภชนาการสำหรับชาวจีน ต่างเน้นย้ำตรงกันว่า:

• เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ไม่ควรได้รับ น้ำตาลที่เติมเพิ่ม เข้าไปในอาหารอย่างเด็ดขาด

• สำหรับเด็กที่อายุเกิน 3 ปี ก็ยังคงต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้ติดรสหวาน

จากคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) และ "คู่มือโภชนาการสำหรับประชาชนชาวจีน" เน้นย้ำว่า:

• เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ไม่ควรได้รับน้ำตาลที่เติมเพิ่ม เข้าไปในอาหารโดยเด็ดขาด

• เด็กที่อายุมากกว่า 3 ปี ต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้ติดรสหวาน

นอกจากความเสี่ยงต่อสุขภาพแล้ว น้ำตาลยังทำให้เด็ก เสพติดของหวาน ซึ่งส่งผลให้ไม่ยอมกินอาหารธรรมชาติ และหันไปพึ่งพาอาหารขยะแทน ยิ่งทำให้สุขภาพแย่ลง

แม้รสชาติจะหอมหวาน แต่น้ำตาลก็เหมือน ดาบสองคม พ่อแม่จึงควรมีสติและรู้เท่าทันขนมหวานหลากสี, น้ำอัดลม, หรือขนมหอมกรุ่นที่วางอยู่ตรงหน้า โปรดจำไว้ว่า ยิ่งได้รับน้ำตาลน้อยเท่าไร ตับและหัวใจของลูกก็จะยิ่งแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น