Financial Times เปิดเผยภาพถ่ายดาวเทียมจาก Planet Labs ที่แสดงให้เห็นว่า โรงงานขนาดยักษ์ของหัวเว่ยในกวนหลาน (เซินเจิ้น) ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว หลังเริ่มสร้างมาตั้งปี 2022 แม้รายละเอียดยังไม่เปิดเผยสู่สาธารณะ แต่สายข่าวอย่างน้อย 2 แห่ง รายงานตรงกันว่า นี่คือโรงงานผลิตชิป Kirin ระดับ 7 นาโนเมตร สำหรับมือถือ และชิป Ascend สำหรับการประมวลผล AI

โรงงานดังกล่าวของหัวเว่ย ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเซินเจิ้น โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงงานผลิตอุปกรณ์ผลิตชิปของ SiCarrier โรงงานผลิตชิปหน่วยความจำของ SwaySure และอีกหลายโรงงานจากบริษัทในแวดวงเดียวกัน เช่น PXW และ PST
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของหัวเว่ย ที่ต้องการสร้างห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์แบบครบวงจรในจีนโดยไม่พึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ ในขณะที่การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ยังดำเนินต่อไป


ข่าวของ Financial Times มีรายละเอียดสอดคล้องกับรายงานของ Bloomberg เมื่อ 2 ปีก่อน โดยเฉพาะประเด็นการสร้างเครือข่ายโรงงานของหัวเว่ย และความสัมพันธ์อันแนบชิดกับ SiCarrier ซึ่งขณะนั้น SiCarrier ยังเป็นม้านอกสายตาที่ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่ง SiCarrier เริ่มปล่อยของโดยการเปิดตัวเครื่องจักรผลิตชิปเกือบ 30 รุ่น ในงาน SEMICON China เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จนสร้างเสียงฮือฮาเป็นวงกว้าง
ตามรายงานระบุว่า หัวเว่ยจะให้การสนับสนุนทั้งด้านเงินทุน ทรัพยากร บุคลากร และเทคโนโลยีแก่ SiCarrier ในช่วงแรก จนกว่า SiCarrier จะตั้งตัวได้ (รวมถึง SwaySure ด้วยเช่นกัน) เพื่อสร้าง ‘ความมั่นใจ’ ให้กับรัฐบาลในการออกเงินอุดหนุนเพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ก็มองว่า การดำเนินการในรูปแบบดังกล่าว จะช่วยให้รัฐบาลสามารถจัดสรรเงินอุดหนุนบริษัทเหล่านี้ได้ยืดหยุ่นขึ้น โดยไม่ต้องคอยกังวลกับสัดส่วนการถือหุ้นจากการเปิดรับการลงทุนจากภายนอก

โรงงานของหัวเว่ยมีกำหนดแล้วเสร็จในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่การเดินสายการผลิตอาจต้องรอถึงปี 2026 เป็นอย่างน้อย เนื่องจากอุปกรณ์ส่วนใหญ่เป็นของที่ผลิตในประเทศ ซึ่งต้องการเวลาในการทดสอบ
รายงานยังบอกด้วยว่า ที่หัวเว่ยต้องเร่งสร้างโรงงาน เป็นเพราะหัวเว่ยไม่พอใจผลผลิตของ SMIC สอดคล้องกับที่บรรดานักวิเคราะห์มองว่า yield rate ชิป Kirin ก่อนหน้านี้คงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ประกอบกับการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตรวจเจอชิปของ TSMC ไปโผล่บนชิป AI ของหัวเว่ย ผ่านบริษัทตัวกลาง มาตรการการคว่ำบาตรจึงมีแนวโน้มจะทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น
ที่มา : Financial Times