เด็กหญิงวัย 13 ปี ยังปัสสาวะรดที่นอน แพทย์ตรวจไม่พบโรคใด ๆ คำสารภาพของแม่กลับทำให้ผู้คนโกรธแค้น
โดยทั่วไปแล้ว เด็กปกติเมื่ออายุประมาณ 4 ขวบ ก็เริ่มมีสติรู้จักควบคุมพฤติกรรมของตนเอง รวมถึงการเข้าห้องน้ำ และเมื่อพ้น 6 ขวบ ก็มักไม่ค่อยมีใครปัสสาวะรดที่นอนอีก ทว่าคุณแม่ “นางเฉิน” ชาวกวางตุ้ง ประเทศจีน กลับต้องทุกข์ใจอย่างหนัก เพราะลูกสาวอายุ 13 ปีแล้ว แต่แทบทุกคืนยังคงปัสสาวะรดที่นอนอยู่เสมอ ภายในบ้านจึงต้องซักผ้าปูที่นอนและผ้าห่มแทบทุก 2–3 วัน
เมื่อไม่นานมานี้ ลูกสาวยังยืนยันไม่ยอมไปโรงเรียนอีก เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นในเมือง เนื่องจากบ้านอยู่ไกลจึงต้องพักหอ แต่ครั้งหนึ่งถูกเพื่อนร่วมห้องจับได้ว่าปัสสาวะรดที่นอน เรื่องราวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโรงเรียน ทุกคนต่างรู้ว่าเธอยังมีพฤติกรรมเหมือนเด็กเล็ก หลายคนถึงขั้นซุบซิบนินทาและหัวเราะเยาะลับหลัง
สุดท้ายนางเฉินตัดสินใจพาลูกไปตรวจที่โรงพยาบาล แต่แพทย์กลับไม่พบความผิดปกติทางร่างกายใด ๆ และสงสัยว่าสาเหตุน่าจะมาจากปัญหาทางจิตใจ หลังจากคุณหมอสอบถามอย่างละเอียดด้วยความอดทน แม่จึงนึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์หนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
สามีของนางเฉินเป็นคนเกียจคร้าน ไม่ยอมทำงาน ทำให้ภาระทางการเงินทั้งหมดตกอยู่ที่เธอ ต้องทำงานพร้อมกัน 2-3 งาน บางครั้งกลับถึงบ้านเอาตอนเที่ยงคืน ความทุกข์ยากและแรงกดดันทำให้เธอหงุดหงิดง่าย และมักระบายความโกรธใส่ลูกสาว วันหนึ่งเธอกลับถึงบ้านกลางดึก พบว่าลูกปัสสาวะรดที่นอนอีก ทั้งเหนื่อยทั้งโมโห จึงฟิวส์ขาด ลากลูกขึ้นมาลงโทษอย่างรุนแรง แล้วขังไว้นอกห้องตลอดทั้งคืน
นางเฉินไม่รู้เลยว่าคืนนั้นลูกสาวเผชิญกับอะไรบ้าง เด็กหญิงที่แต่เดิมก็หวาดกลัวความมืดอยู่แล้ว ไม่กล้าร้องไห้ คงได้แต่ตัวสั่นงันงกอยู่ในมุมมืดด้วยความหวาดผวา จนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เธอก็เริ่มปัสสาวะรดที่นอนบ่อยครั้ง
เมื่อฟังจบ แพทย์ถึงกับโกรธกล่าวว่า “ไม่ว่าผู้ใหญ่จะเหน็ดเหนื่อยหรือโกรธเคืองเพียงใด ก็ไม่ควรระบายลงที่เด็ก เด็กไม่มีความผิดอะไรเลย”
บางคนเห็นใจแม่ คิดว่าเธอเป็นเพียงเหยื่อของสถานการณ์ ย่อมมีช่วงเวลาที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่บ้าง แต่ก็มีอีกหลายเสียงวิจารณ์อย่างรุนแรงว่า การที่คนเป็นแม่สามารถลงโทษและขังลูกน้อยวัยเพียงไม่กี่ขวบนอกห้องทั้งคืนได้นั้น ถือว่าโหดร้ายและน่าหวาดกลัวเกินไป
iStockphoto
พ่อแม่ที่ระบายความโกรธใส่ลูก ผลลัพธ์ที่ฝังลึกและยาวนาน
หลายคนอาจคิดว่าการที่พ่อแม่เผลอระบายอารมณ์ใส่ลูกเป็นเพียงเรื่องชั่ววูบ แต่แท้จริงแล้วผลกระทบกลับรุนแรงและยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้มาก เด็กเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบางและอ่อนไหว หากต้องเผชิญกับการดุด่า การทำโทษด้วยความรุนแรง หรือการถูกเมินเฉยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กจะค่อย ๆ ซึมซับความกลัวและความกังวล จนไม่กล้าแสดงออกตามความรู้สึกจริง เก็บตัว ขาดความมั่นใจ และขาดทักษะในการสื่อสารกับผู้อื่น
เมื่อเวลาผ่านไป บาดแผลทางใจเหล่านี้อาจพัฒนาไปสู่ปัญหาทางจิตใจ เช่น ภาวะซึมเศร้า ความหวาดกลัว หรือความวิตกกังวลเรื้อรัง บางคนแบกรับบาดแผลนี้ไปจนโต ส่งผลต่อวิธีสร้างความสัมพันธ์ทั้งกับเพื่อน คนรัก และครอบครัวในอนาคต ขณะที่เด็กบางคนกลับ “เลียนแบบ” พฤติกรรมของพ่อแม่ เมื่อเผชิญปัญหา ก็มักเลือกที่จะระบายอารมณ์ใส่ผู้ที่อ่อนแอกว่า ทำให้วงจรแห่งความรุนแรงยังคงหมุนซ้ำไม่รู้จบ
นอกจากนี้ การที่พ่อแม่มักแสดงอารมณ์โกรธใส่ลูก ยังบ่อนทำลายสายใยความผูกพันภายในครอบครัว เด็กจะค่อย ๆ สูญเสียความรู้สึกปลอดภัยและความไว้วางใจต่อพ่อแม่ ซึ่งควรจะเป็นที่พึ่งพิงที่มั่นคงที่สุดในชีวิต ส่งผลให้เกิดระยะห่างที่มองไม่เห็น และความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อย ๆ เลือนรางลง
กล่าวได้ว่า ทุกครั้งที่พ่อแม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำและระบายความโกรธลงที่ลูก ไม่เพียงแต่ทำร้ายจิตใจของเด็ก แต่ยังสั่นคลอนรากฐานแห่งความสุขของทั้งครอบครัว ดังนั้นแทนที่จะปล่อยให้อารมณ์ชี้นำ พ่อแม่ควรฝึกความสงบ ค้นหาวิธีคลายเครียดอย่างสร้างสรรค์ และมอบความใส่ใจ ความเข้าใจ และความรักแก่ลูก เพราะสิ่งเหล่านี้ต่างหากคือของขวัญล้ำค่าในเส้นทางการเลี้ยงดูและเติบโตของลูกน้อย