วิจัยเมืองนอก น้ำสีแดง 1 ชนิด กินวันละแก้วเป็นยาอายุวัฒนะ สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียว 3-4 เท่า
เมื่อถึงฤดูร้อนการป้องกันแดด กลายเป็นหัวข้อสำคัญของผู้หญิง นอกจากครีมกันแดดภายนอกแล้ว งานวิจัยสมัยใหม่ยังพบว่า เราสามารถกันแดดจากภายในได้ด้วยอาหาร
ทับทิม ได้รับฉายาว่า “ยาอายุวัฒนะเพื่อความงาม” เพราะช่วยเสริมคอลลาเจน ป้องกันรังสียูวี และทำให้ผิวขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ
น้ำทับทิมสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียว
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมูร์เซีย (สเปน) สารสกัดจากทับทิมสามารถปกป้องผิวจากการทำลายของรังสี UV และลดภาวะเครียดออกซิเดชัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของผิวแก่ก่อนวัย โดยสารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมสูงกว่าชาเขียวและไวน์แดงถึง 3-4 เท่า
รายงานนี้ซึ่งตีพิมพ์ใน Journal of Agricultural and Food Chemistry ระบุว่า สาร Punicalagins ในทับทิมสามารถยับยั้งการสลายคอลลาเจนจากแสงแดด พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างผิวใหม่
ประโยชน์ของน้ำทับทิม
-
ป้องกันรังสียูวีจากภายใน Punicalagins และกรด Ellagic ในทับทิมช่วยลดความเสียหายต่อ DNA ที่เกิดจากแสงแดด ลดการอักเสบและการเกิดจุดด่างดำ งานวิจัยใน Experimental Dermatology (2014) ชี้ว่า น้ำทับทิมช่วยลดผลกระทบจากรังสี UVB ต่อผิวได้จริง
-
เสริมคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย ทับทิมอุดมด้วยวิตามินซี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเต่งตึงและยืดหยุ่น งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนพบว่า การบริโภคต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ช่วยเพิ่มความหนาของผิวหนังและลดริ้วรอยได้ชัดเจน
-
ทำให้ผิวกระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ สารในทับทิมยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ลดการสร้างเมลานิน จึงช่วยให้ผิวขาวใสและลดความหมองคล้ำ
-
ลดสิวและการอักเสบของผิวหนัง ด้วยคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและต้านการอักเสบ น้ำทับทิมช่วยบรรเทาสิวและผิวอักเสบจากอากาศร้อน
-
ต่อต้านความชราโดยรวม ทับทิมมีโพลีฟีนอล เบต้าแคโรทีน วิตามินอี สังกะสี และซีลีเนียม ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกัน และปกป้องผิวจากมลพิษและความเครียด
ป้องกันมะเร็ง 6 ชนิด
การศึกษาใหม่ในปี 2025 จากวารสาร Food Science & Nutrition เผยว่า “ทับทิม” มีประสิทธิภาพเด่นชัดในการป้องกันโรคมะเร็งหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำทับทิม เมล็ด หรือสารสกัด ล้วนมีคุณสมบัติต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ต้านเนื้องอก และลดการอักเสบ สามารถช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่า 20%
นอกจากนี้ ยังพบว่าทับทิมมีผลในการป้องกันมะเร็งได้ถึง 6 ชนิด ได้แก่
-
มะเร็งต่อมลูกหมาก
-
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
-
มะเร็งเต้านม
-
มะเร็งผิวหนัง
-
มะเร็งปอด
-
มะเร็งลำไส้ใหญ่
ตามรายงานของ HuffPost นักวิทยาศาสตร์พบว่า โพลีฟีนอลในทับทิมสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ส่วนฟลาโวนอยด์และแทนนินในผลไม้ชนิดนี้สามารถควบคุมการอักเสบเรื้อรังได้ โดยทั้งหมดนี้ส่งผลต่อเส้นทางการส่งสัญญาณของเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง ทำให้ลดการเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
การบริโภคทับทิมร่วมกับผักหลายชนิดยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้อีกระดับ โดยคาดว่าจะช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากมะเร็งได้มากถึง 200,000 คนต่อปี
นอกจากนี้ ทับทิมยังมีประโยชน์มากกว่าการต้านมะเร็ง เนื่องจากอุดมไปด้วยไฟโตเอสโตรเจน (ฮอร์โมนพืช) ซึ่งช่วยบรรเทาอาการวัยทองในผู้หญิง เสริมภูมิคุ้มกัน ชะลอวัย บำรุงผิวพรรณ และส่งเสริมสุขภาพหัวใจ
ใครที่ไม่ควรบริโภคทับทิม
-
ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม ไม่ควรบริโภคทับทิมในปริมาณมากเกินไป เนื่องจากมะเร็งเต้านมบางชนิด จะเจริญเติบโตได้ดีขึ้นเมื่อได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจน ถึงแม้ว่าไฟโตเอสโตรเจนจะมาจากพืช และมีฤทธิ์อ่อนกว่าฮอร์โมนในร่างกาย แต่ในผู้ป่วยที่มีประวัติมะเร็งเต้านม แพทย์มักแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน เพื่อลดความเสี่ยงการกระตุ้นเซลล์มะเร็งกลับมาอีก
-
น้ำทับทิมอาจส่งผลให้ความดันเลือดลดต่ำลงเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันต่ำอาการแย่ลง
-
ผู้ที่มีอาการแพ้จากพิษพืชอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้จากการรับประทานทับทิม
-
ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานทับทิมอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากทับทิมส่งผลให้ความดันเลือดต่ำลง จึงอาจกระทบต่อความดันเลือดในขณะผ่าตัดหรือมีผลต่อเนื่องไปยังหลังการผ่าตัด
-
การรับประทานทับทิมควบคู่กับยาบางชนิดอาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยา เช่น ยาที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตับโดยเอนไซม์ตับ Cytochrome ชนิด P450 2D6 หรือชนิด P450 3A4 ยาลดความดันโลหิตหรือเอซีอี อินฮิบิเตอร์ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรสุวาสแตติน ผู้ที่รับประทานยาเป็นประจำหรือมีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานเพื่อความปลอดภัย
วิธีดื่มน้ำทับทิมให้ได้ผลสูงสุด
-
ดื่มวันละ 150–200 มล. ตอนเช้าหรือบ่ายกลางวัน
-
ควรเลือกน้ำทับทิมสด 100% ไม่เติมน้ำตาลหรือสารกันเสีย
-
ควบคู่กับการกินผักผลไม้ นอนหลับเพียงพอ และทาครีมกันแดดเมื่อต้องออกแดด