สมุนไพรไทยบ้านๆ "ผักรู้นอน" อุดมประโยชน์ เมนูฮิตร้านข้าวต้ม ยาราคาถูกจากธรรมชาติ แคลเซียมสูง ต้านมะเร็ง-เบาหวาน
“ผักรู้นอน” หรือ ผักกระเฉด เป็นผักพื้นบ้านของไทยที่คนไทยคุ้นเคยและบริโภคกันมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแค่รสชาติอร่อยและกรอบเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และสรรพคุณทางยาในระดับที่สามารถใช้ต้านโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น เบาหวาน มะเร็ง หรือภาวะอักเสบเรื้อรัง
ลักษณะทั่วไปของผักกระเฉด
ผักกระเฉดเป็นพืชน้ำในวงศ์ Leguminosae (หรือ Mimosaceae) ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับกระถินและไมยราบ ลักษณะเป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อน เจริญเติบโตในแหล่งน้ำตื้น เช่น ห้วย หนอง คลอง บึง สระน้ำ หรือแม้แต่บ่อซีเมนต์ที่สร้างขึ้นก็สามารถปลูกได้ ชอบแดดรำไรไปจนถึงแดดจัด ขึ้นแซมปะปนกับพืชน้ำอื่น ๆ หรือขึ้นเดี่ยว ๆ ก็ได้
ผักกระเฉดมีรากตามข้อของลำต้นที่ทอดยาว ใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยมีสีเขียวเข้ม ขอบใบอาจมีสีม่วงเล็กน้อย และจะหุบใบเมื่อสัมผัสหรือเมื่อถึงเวลากลางคืน ลำต้นมีปล้องสั้น ๆ บางส่วนกลวง บางส่วนแน่น กรอบเปราะ ดอกออกเป็นช่อ สีเหลืองสด คล้ายดอกกระถิน
ที่มาของชื่อ "ผักรู้นอน"
ผักกระเฉดมีพฤติกรรมคล้ายไมยราบ เมื่อใบถูกสัมผัสจะหุบลงทันที และจะหุบใบเองในช่วงเวลากลางคืน และกางออกในช่วงเช้า จึงมีการตั้งชื่ออย่างสุภาพว่า “ผักรู้นอน” ซึ่งหมายถึง “ผักที่รู้จักนอน” สื่อถึงการหุบใบตามจังหวะของกลางวันและกลางคืน
ชื่อท้องถิ่นของผักกระเฉด
-
ภาคกลาง: ผักกระเฉด หรือผักรู้นอน
-
ภาคใต้: ผักฉีด
-
ภาคเหนือ: ผักหนอง หรือผักหละหนอง
-
ภาคอีสาน: ผักกะเสดน้ำ
มีความเชื่อว่าวัฒนธรรมพื้นถิ่นอีสานรู้จักผักกระเฉดมาก่อนกระถินที่นำเข้าภายหลัง และเรียกกระถินว่า “กะเสด” เพราะมีลักษณะใบและดอกคล้ายผักกระเฉด
คุณค่าทางโภชนาการ (ต่อผักกระเฉดสด 100 กรัม)
-
พลังงาน 29 กิโลแคลอรี
-
ใยอาหาร 5.6 กรัม
-
แคลเซียม 387 มิลลิกรัม
-
ฟอสฟอรัส 7.0 มิลลิกรัม
-
เหล็ก 5.3 มิลลิกรัม
-
วิตามินเอ 618 IU
-
วิตามินบีหนึ่ง 0.12 มิลลิกรัม
-
วิตามินบีสอง 0.14 มิลลิกรัม
-
วิตามินบีสาม (ไนอะซิน) 3.2 มิลลิกรัม
-
วิตามินซี 34 มิลลิกรัม
-
เบต้าแคโรทีน 3,710 ไมโครกรัม
ประโยชน์ทางสุขภาพของผักกระเฉด
1. ส่งเสริมระบบย่อยอาหารและขับลม : ผักกระเฉดมีใยอาหารสูง ช่วยเพิ่มกากใยในลำไส้ กระตุ้นการขับถ่าย ป้องกันท้องผูก และลดอาการแน่นท้องจากลมในกระเพาะ นิยมรับประทานสดหรือลวกกินกับน้ำพริกในตำรับพื้นบ้าน
2. ต้านอนุมูลอิสระ : อุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มะเร็ง และชะลอความเสื่อมของร่างกาย
3. ต้านการอักเสบ : มีสารออกฤทธิ์ต้านการอักเสบที่ช่วยลดอาการบวม ปวด หรืออักเสบในร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อหรือข้อต่อ
4. ฟื้นฟูผิวพรรณ : สารต้านอนุมูลอิสระในผักกระเฉดยังช่วยลดผลกระทบจากมลภาวะ ทำให้ผิวดูสดใส เปล่งปลั่ง
5. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน : วิตามินซีในผักกระเฉดมีส่วนกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น
6. ต้านจุลชีพ : สารสกัดจากผักกระเฉดมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและเชื้อรา ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อบางชนิด
7. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด : มีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มความไวของอินซูลิน เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 หรือผู้ที่มีความเสี่ยง
8. ป้องกันโรคกระดูกพรุน : มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะกระดูกพรุนในวัยสูงอายุ
9. แก้อาการฟกช้ำ บวม เคล็ด (ใช้ภายนอก) : ในตำรับยาแผนไทยพื้นบ้าน นิยมนำใบผักกระเฉดตำพอกบริเวณที่บวม ฟกช้ำ หรือเคล็ดขัดยอกเพื่อบรรเทาอาการ
การใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
การบริโภค : สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย เช่น ผัดไฟแดง ผัดน้ำมันหอย ผัดกับเส้นหมี่ หรือลวกกินกับน้ำพริก รสสัมผัสกรอบและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ทำให้เข้ากับอาหารไทยหลายชนิดได้เป็นอย่างดี เป็นผักที่นิยมกินเป็นกับข้าวในร้านข้าวต้ม
การปลูกเอง : ผักกระเฉดปลูกง่าย เพียงมีบ่อน้ำหรือร่องสวน น้ำตื้น และแสงแดดเพียงพอ ก็สามารถเติบโตได้ดีทั้งในดินเลนและในบ่อซีเมนต์ เหมาะสำหรับการปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือน
ข้อควรระวังในการบริโภคผักกระเฉด
แม้ว่าผักกระเฉดจะมีคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยาหลายประการ แต่ก็มีข้อควรระวังที่ควรทราบก่อนบริโภค ดังนี้:
1. เสี่ยงต่อการปนเปื้อนพยาธิใบไม้ตับ : ผักกระเฉดมักเจริญเติบโตในแหล่งน้ำตื้น เช่น หนองน้ำ หรือคลอง ซึ่งอาจเป็นแหล่งอาศัยของหอยที่เป็นพาหะของ พยาธิใบไม้ตับ การบริโภค ผักกระเฉดสดหรือไม่ผ่านการปรุงสุก อาจเสี่ยงต่อการรับเชื้อพยาธิที่ก่อโรคในตับและท่อน้ำดี จึงควรล้างให้สะอาด และ ลวกหรือปรุงสุกก่อนบริโภคเสมอ
2. ผู้ป่วยโรคไตควรระมัดระวัง : ผักกระเฉดมีปริมาณ โพแทสเซียมสูง การบริโภคมากเกินไปอาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง ส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือเพิ่มภาระการทำงานของไต โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังหรือผู้ฟอกไต ผู้ป่วยโรคไตควรจำกัดปริมาณ หรือปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค
3. อาจปนเปื้อนโลหะหนักหรือสารเคมีจากน้ำเสีย : ผักกระเฉดที่ปลูกในแหล่งน้ำเสีย หรือใกล้พื้นที่อุตสาหกรรม อาจสะสมโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว สารหนู หรือปุ๋ยเคมีตกค้าง ควรเลือกแหล่งปลูกที่ปลอดภัย หรือเลือกซื้อจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ และล้างผักให้สะอาดก่อนนำมาปรุงอาหาร
4. อาจเกิดอาการแพ้ในบางรา : พบได้น้อยมาก แต่อาจมีบางรายที่แพ้สารในผักกระเฉด ทำให้เกิดผื่น คัน หรือระคายเคือง หากรับประทานแล้วเกิดอาการผิดปกติ ควรหยุดรับประทานทันที และปรึกษาแพทย์