สาววัย 21 ติดกินของหวาน ไม่งั้นจะหงุดหงิดอารมณ์เสีย จู่ๆ ช็อกหมดสติ หมอเผย "เลือดเป็นกรด"
พฤติกรรมติดหวานอาจร้ายแรงกว่าที่คิด หญิงสาววัย 21 ปีจากเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน ดื่มเครื่องดื่มหวานวันละไม่ต่ำกว่า 4 แก้ว พร้อมกินขนม ผลไม้หวาน และไอศกรีมเป็นประจำ จนน้ำหนักพุ่งเกิน 115 กิโลกรัม ก่อนล้มหมดสติ ถูกหามส่ง ICU ด่วน พบเป็น “ภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวาน” หรือ Diabetic ketoacidosis (DKA) เป็นภาวะน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับเลือดเป็นกรดจากสารคีโตน เสี่ยงช็อกและเสียชีวิตได้
ตามรายงานจากสื่อจีน ระบุว่าหญิงสาวคนนี้รู้สึกหายใจลำบากและหัวใจเต้นเร็ว ก่อนจะหมดสติและช็อกอย่างกะทันหัน แพทย์นำตัวเธอเข้าห้องไอซียูตรวจรักษา และพบว่าเป็น ภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวาน
เมื่อสอบถามประวัติการใช้ชีวิตเพิ่มเติม แพทย์พบว่าเธอ ติดหวานอย่างหนัก ดื่มเครื่องดื่มหวานอย่างน้อยวันละ 4 แก้ว และกินขนมหวานแบบไม่ยั้ง ทั้งผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ไอศกรีม และของหวานต่าง ๆ
เธอยอมรับว่า “พอเหนื่อยจากงานก็จะซื้อเครื่องดื่มมากิน พอกินแล้วก็รู้สึกมีความสุข ถ้าไม่ได้กินของหวานจะรู้สึกหงุดหงิด” จากการบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำหนักของเธอพุ่งขึ้นถึง ประมาณ 115 กิโลกรัม
คำเตือนจากแพทย์
แพทย์เผย เธอมีอาการหายใจติดขัด หัวใจเต้นเร็ว และช็อกเฉียบพลัน ตรวจพบมีสารคีโตนในเลือดสูงเกินค่าปกติ สาเหตุมาจากร่างกายขาดอินซูลินสะสม และการบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากติดต่อกัน
แพทย์เตือนว่า การบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน ไม่เพียงแต่ทำให้อ้วนเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเรื้อรังอื่น ๆ โดยเฉพาะความอ้วนที่อาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว และในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันหรือเสียชีวิตกะทันหัน ซึ่งเป็นภัยร้ายต่อสุขภาพ
คำแนะนำจากนักโภชนาการ
นอกจากนี้ นักโภชนาการ เกา หมิ่นหมิ่น ยังเคยระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้บริโภคน้ำตาลที่ผ่านการปรุงแต่งไม่เกิน 10% ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน และควรควบคุมให้อยู่ในระดับไม่เกิน 5% ยกตัวอย่างเช่น หากร่างกายต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน ปริมาณน้ำตาลควรอยู่ต่ำกว่า 200 กิโลแคลอรี ซึ่งตามตัวเลขนี้เพียงแค่ดื่มเครื่องดื่มหวานแบบเต็มน้ำตาลเพียงแก้วเดียวก็เกินแล้ว หากอยากดื่มเพื่อดับกระหายจริง ๆ ควรเลือกชาที่ไม่ใส่น้ำตาลจะดีกว่า