หมอฮาร์วาร์ดเปิดเคล็ดลับ ชายหายขาดจากมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย ใครก็ทำตามได้!

1 week ago 7
❤️ ARTICLE AD BOX ❤️

หมอฮาร์วาร์ดเปิดเคสพลิกวิกฤตให้กลายเป็นปาฏิหาริย์ ชายหายขาดจากมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย เผยเคล็ดลับชีวิตที่ช่วยต่ออายุได้อีก 10 ปี

แม้แพทย์บอกว่า “ไม่มีทางรอด” แต่ชายผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้ายรายหนึ่ง กลับพลิกวิกฤตให้กลายเป็นปาฏิหาริย์ ด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพียงไม่กี่ข้อ จนสามารถเอาชนะโรคมะเร็งได้อย่างไม่น่าเชื่อ และยังคงมีชีวิตอยู่ได้อย่างแข็งแรงนานกว่า 10 ปี

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขของไต้หวัน เผยว่า มะเร็งยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของประชากร โดยเฉพาะ “มะเร็งตับอ่อน” ที่ได้รับฉายาว่า “ราชามะเร็ง” แม้จะลดอันดับลงมาอยู่ที่ 7 แต่ยังคงคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ดร.สวี่รุ่ยอวิ๋น แพทย์หญิงชาวไต้หวันที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้นำเสนอกรณีศึกษาที่น่าสนใจผ่านช่อง YouTube โดยเล่าเรื่องของผู้ป่วยรายหนึ่งที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย

หลังรักษามานานกว่า 5 ปีตามโรงพยาบาลชั้นนำ ทั้งในเครือมหาวิทยาลัยไต้หวันและโรงพยาบาลทหารผ่านศึก แต่กลับไม่เห็นผล แพทย์หลายคนลงความเห็นตรงกันว่า “หมดหนทางรักษาแล้ว ควรเตรียมตัวล่วงหน้า”

แต่ท่ามกลางความสิ้นหวัง ชายผู้นี้กลับตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตแบบถอนรากถอนโคน โดยเริ่มจากการปรับความคิด ตรวจสอบต้นตอของความเครียด เยียวยาความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว และฝึกปล่อยวางจากสิ่งที่ยึดติด

เขายังปรับอาหารการกิน หันหลังให้กับอาหารแปรรูปและน้ำตาลสูง เน้นผักปลอดสาร พืชโปรตีน ออกกำลังกายเป็นประจำ และใช้เวลาอยู่กลางแดดเพื่อให้ร่างกายสร้างวิตามิน D ได้เพียงพอ

เพียง 1 ปีหลังจากปรับพฤติกรรม เซลล์มะเร็งในร่างกายของเขาก็หายไปอย่างไม่น่าเชื่อ สุขภาพโดยรวมดีขึ้นชัดเจน และเขายังคงใช้ชีวิตได้อย่างปกติมาจนถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว

ดร.สวี่รุ่ยอวิ๋น กล่าวเน้นว่า โรคบางอย่างอาจไม่สามารถ “รักษาให้หายขาด” ได้ แต่สามารถ “ควบคุมให้อยู่ในระดับปลอดภัย” ได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ซึ่งจิตใจและอารมณ์มีผลอย่างมากต่อระบบภูมิคุ้มกันและการฟื้นฟูของร่างกาย

Lisa from Pexels

เธอยังแนะนำ “5 หลักการกินต้านมะเร็ง” ที่ใครก็ทำตามได้ง่าย ๆ คือ

  1. เลือกผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษหรือปลูกแบบอินทรีย์

  2. รับประทานโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วต่าง ๆ

  3. เสริมวิตามิน D และ B12 อย่างเหมาะสม

  4. กินอาหารที่มีโอเมก้า-3 เช่น วอลนัท เมล็ดแฟลกซ์

  5. พกน้ำดื่มติดตัว เพื่อเลี่ยงสารปรุงแต่งแอบแฝงในอาหารนอกบ้าน

สุดท้าย ดร.สวี่รุ่ยอวิ๋น ฝากแนวคิดไว้ว่า อาหารที่เหมาะกับเราจริง ๆ คืออาหารที่กินแล้วรู้สึกสบายตัว สดชื่น ไม่อึดอัดหรือเพลีย ใช้ความรู้สึกของร่างกายเป็นตัวตัดสินว่าอาหารนั้นเหมาะสมกับตัวเองหรือไม่

Read Entire Article