หมอเมืองนอก เตือน “โรคข้าวผัด” มีอยู่จริง และอาจถึงตายได้ คิดให้ดีก่อนกินข้าวที่เหลือจากเมื่อวาน
แม้ว่าอาหารที่กินเหลือควรแช่ตู้เย็นไว้ แต่โดยทั่วไป ถ้าไม่ได้วางทิ้งไว้นานเกินไป ก็ยังพอรับประทานได้อย่างปลอดภัย แต่สำหรับข้าวและพาสต้า กลับต่างออกไป ถ้าปล่อยไว้ที่อุณหภูมิห้องแล้วนำมากินต่อ อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง หรือร้ายที่สุดถึงขั้นเสียชีวิตได้
“โรคข้าวผัด” คืออะไร?
“โรคข้าวผัด” คืออาการอาหารเป็นพิษชนิดหนึ่งที่เกิดจากแบคทีเรียชื่อ Bacillus cereus
Bacillus cereus เป็นแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไปมาก แต่จะก่อปัญหาเมื่อปนเปื้อนในอาหารที่เก็บไม่ถูกวิธี
แม้ว่าข้าวและพาสต้าจะเป็นสาเหตุหลักของอาหารเป็นพิษจากแบคทีเรียชนิดนี้ แต่อาหารที่ปรุงสุกแล้วอย่างผักหรือเนื้อสัตว์ก็สามารถปนเปื้อนและทำให้เกิดอาการได้เช่นกัน
อาการของ “โรคข้าวผัด” ได้แก่ ท้องเสียและอาเจียน ซึ่งบางคนอาจมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนใหญ่โรคนี้ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่ในปี 2008 เคยมีกรณีเศร้าเมื่อชายวัย 20 ปีเสียชีวิตจากภาวะนี้
วิธีป้องกัน “โรคข้าวผัด”
ในโพสต์อินสตาแกรมของ @drjoe_md ได้แนะนำวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงและทำให้อาหารปลอดภัยมากขึ้น
เขาอธิบายในวิดีโอว่า ข้าวและพาสต้าควรหลีกเลี่ยงการวางทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเกิน 2 ชั่วโมงก่อนรับประทาน
นอกจากนี้ ยังเล่าว่า ตอนเรียนแพทย์มีประโยคจำง่าย ๆ ว่า “Re-heat rice, B. cereus” (อุ่นข้าวใหม่ ระวังบาซิลลัส ซีเรียส) เพื่อเตือนใจว่า ถ้าจะกินข้าวที่เหลือ ต้องอุ่นให้ร้อนก่อนเสมอ เพราะมีความเสี่ยงจากแบคทีเรีย Bacillus cereus
เพื่อความปลอดภัยของคุณ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้เมื่อต้องจัดการกับอาหาร
- เก็บข้าวและพาสต้าไว้ในที่แห้งและเย็น
- ล้างมือด้วยสบู่ก่อนและหลังสัมผัสอาหาร
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาหารสุกทั่วถึง
- อย่าปล่อยให้อาหารเย็นตัวนานเกิน 2 ชั่วโมง
- อุ่นอาหารให้ร้อนอย่างทั่วถึงก่อนรับประทาน
- เก็บอาหารที่เหลือในภาชนะที่ปิดสนิท
- ทิ้งอาหารที่ปรุงเกิน 2 วันไปแล้ว
แม้ยุคนี้จะต้องประหยัดแค่ไหน แต่กฎง่าย ๆ คือ ถ้าไม่แน่ใจว่าอาหารยังปลอดภัยอยู่หรือไม่ อย่ากินดีกว่า