การขับถ่ายเปลี่ยนแปลงกะทันหัน อาจไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ หมอเตือน 3 สัญญาณอันตราย เสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบไม่รู้ตัว
ดร.เฉิน เว่ยโหย่ว ศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ชาวไต้หวัน ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า หลายคนมักสงสัยเกี่ยวกับ “ความถี่ในการขับถ่าย” ว่าแบบไหนเรียกว่าปกติ บางคนถ่ายวันละ 1–3 ครั้ง ขณะที่บางคน 2–3 วันจึงถ่ายครั้งหนึ่ง คำถามคือ แบบไหนกันแน่ที่ถือว่าปกติ?
เขาอธิบายว่า หลายคนเข้าใจว่า “ขับถ่ายทุกวัน = สุขภาพดี” แต่จริง ๆ แล้ว ความถี่ในการขับถ่ายไม่ใช่เกณฑ์ตายตัว เพราะแต่ละคนมีลักษณะทางร่างกายต่างกัน จุดสำคัญคือ ความสม่ำเสมอและความราบรื่นของการขับถ่าย
ช่วงที่ถือว่าปกติ: ขับถ่ายวันละ 3 ครั้ง ถึงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
ตราบใดที่เป็นประจำและไม่ก่อให้เกิดความอึดอัด ก็ถือว่า “ปกติ” ไม่ต้องกังวล
เขาเน้นว่า สิ่งที่สำคัญไม่ใช่จำนวนครั้ง แต่คือการขับถ่ายที่คล่องตัว ไม่ปวดท้อง ไม่ต้องเบ่งมากเกินไป จึงจะถือว่าเป็นสัญญาณของลำไส้ที่ทำงานเป็นปกติ
โดยทั่วไป คนส่วนใหญ่มักขับถ่ายวันละ 1–2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีระบบลำไส้ที่ไวกว่า อาจถ่ายวันละ 3 ครั้งก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ในทางกลับกัน คนที่ขับถ่ายทุก 2–3 วัน หากเป็นประจำและไม่มีอาการผิดปกติ ก็ไม่ถือว่าเป็นอาการท้องผูกเช่นกัน
รูปร่างและสีของอุจจาระก็สำคัญ
ดร.เฉินยังกล่าวว่า ลักษณะและสีของอุจจาระ ก็เป็นดัชนีสำคัญที่สะท้อนสุขภาพลำไส้ โดยอุจจาระที่ดีควรมีลักษณะคล้ายกล้วย มีความนุ่มปานกลาง สีเหลืองน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้ม
พร้อมเตือนว่า หากคุณมีพฤติกรรมการขับถ่ายที่ปกติอยู่แล้ว แต่จู่ ๆ จำนวนครั้งกลับ เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างชัดเจน ควรให้ความสนใจ เพราะอาจเป็นสัญญาณผิดปกติของลำไส้
แม้การเปลี่ยนแปลงระยะสั้นจากความเครียดหรืออาหารจะไม่น่าวิตก แต่หากคุณมีอาการขับถ่ายผิดปกติต่อเนื่อง นานเกิน 3 สัปดาห์ โดยเฉพาะหากมี น้ำหนักลดลง ท้องอืด ปวดท้อง หรือมีเลือดปนในอุจจาระ อาจเป็นสัญญาณเตือนของ โรคลำไส้แปรปรวน, ติ่งเนื้อในลำไส้ หรือแม้แต่มะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งไม่ควรนิ่งนอนใจ โดยเฉพาะในกรณีต่อไปนี้
3 สัญญาณเตือนมะเร็งลำไส้ใหญ่
1. พฤติกรรมการขับถ่ายเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
เช่น จากที่เคยถ่ายทุกวัน กลายเป็น 3 วันครั้ง หรือจากที่เคยถ่ายไม่บ่อย กลับมีอาการท้องเสียบ่อยขึ้น อาจเกี่ยวข้องกับการบีบตัวของลำไส้ที่ผิดปกติ หรือเกิดการอุดตัน เช่น ติ่งเนื้อหรือก้อนเนื้อในลำไส้ที่รบกวนการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร
2. ท้องผูกร่วมกับท้องอืด มีเลือดปน และน้ำหนักลด
อาการท้องผูกมักเกิดจากการรับประทานใยอาหารน้อย หรือการเคลื่อนไหวของลำไส้ที่ช้าลง แต่หากมีอาการท้องอืด ถ่ายเป็นเลือด น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของ มะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งก้อนเนื้อในลำไส้สามารถอุดทางเดิน ทำให้อุจจาระผ่านได้ยาก จนเกิดอาการท้องเสียหลอก (ถ่ายบ่อยแต่ไม่หมด)
3. ท้องเสียเรื้อรัง รู้สึกถ่ายไม่สุด
หากคุณมีอาการท้องเสียต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ และยังรู้สึกว่า ถ่ายไม่หมด อาจเกิดจาก ลำไส้อักเสบเรื้อรัง, โรคลำไส้แปรปรวน, ติดเชื้อ, หรือแม้แต่ พยาธิในลำไส้ ซึ่งหากปล่อยไว้จะทำให้เยื่อบุลำไส้ถูกทำลาย และเกิดอาการอักเสบเรื้อรังที่กระทบต่อการทำงานของลำไส้
ดร.เฉิน เน้นว่า “สุขภาพลำไส้เกี่ยวข้องกับนิสัยการขับถ่ายโดยตรง” หากลำไส้มีความผิดปกติ อาจส่งผลให้การบีบตัวเปลี่ยนไป ทำให้เกิด อาการท้องผูก ท้องเสีย หรือขับถ่ายลำบาก ซึ่งอาการเหล่านี้มักไม่ใช่แค่ความผิดปกติเล็กน้อย แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มะเร็งลำไส้ใหญ่” เป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังอย่างมาก เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ในระยะเริ่มต้น แทบไม่มีอาการ จนก้อนเนื้อโตพอจะรบกวนการทำงานของลำไส้
วิธีป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ได้ผลที่สุด: ตรวจคัดกรองเป็นประจำ
ดร.เฉิน แนะนำว่า มะเร็งลำไส้ใหญ่มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะ การตรวจหาเลือดในอุจจาระแบบแฝง (Fecal Occult Blood Test - FOBT) ที่ทั้งปลอดภัย สะดวก และหากผลตรวจพบความผิดปกติ (ผลเป็นบวก) ก็สามารถตรวจยืนยันด้วย การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ได้ต่อทันที