เลือดเหมือนนมข้น! หนุ่มวัย 34 เกือบตายเพราะอาหารเมนูโปรด อร่อยปากลำบากตับ

2 days ago 2

มีรายงานจากเมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ว่า ชายวัย 34 ปี นามสกุลจาง ถูกส่งตัวเข้าแผนกฉุกเฉินกลางดึก หลังมีอาการปวดรุนแรงบริเวณใต้กระดูกอก ผลตรวจ CT ยืนยันว่าเป็นภาวะตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน

ไขมันในเลือดหนาเหมือนน้ำนม!

แม้ได้รับยารักษาแล้ว แต่อาการปวดของผู้ป่วยยังไม่บรรเทา ทีมพยาบาลจึงเจาะเลือดเพื่อตรวจเพิ่มเติม และพบว่าเลือดทั้งหมดขุ่นขาวคล้ายน้ำนม ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะไขมันในเลือดสูงรุนแรง โดยผลตรวจออกมาดังนี้

คอเลสเตอรอลรวม: 13.41 mmol/L (เกินค่าปกติเกือบ 3 เท่า)
ไตรกลีเซอไรด์: 44.59 mmol/L (สูงกว่าค่าปกติกว่า 20 เท่า)

แพทย์วินิจฉัยว่า เขาเป็นตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันจากไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemic Pancreatitis) ซึ่งเป็นรูปแบบที่อันตรายมาก จำเป็นต้องส่งเข้าห้อง ICU เพื่อทำการฟอกพลาสมาด่วนเพื่อกำจัดไขมันและสารพิษในเลือด

โชคดี! ผ่านวิกฤต หลังรักษา 2 วัน

หลังได้รับการดูแลใกล้ชิดและฟอกพลาสมาหลายครั้ง อาการของผู้ป่วยเริ่มดีขึ้น

คอเลสเตอรอลลดลงเหลือ: 5.38 mmol/L
ไตรกลีเซอไรด์ลดเหลือ: 8.56 mmol/L จากนั้นจึงสามารถย้ายกลับไปยังหอผู้ป่วยทั่วไปได้

ต้นเหตุ: พฤติกรรมเสี่ยงและการใช้ชีวิตที่ผิดสมดุล

1. การกินไขมันมากเกิน ทำให้ตับอ่อนทำงานหนัก ชายผู้นี้สูง 170 ซม. หนักถึง 105 กก. (BMI = 37 ถือว่าอ้วนระดับรุนแรง) มักกินอาหารทอด-มัน เช่น บาร์บีคิว กุ้งผัดเนยพริกไทย ทำให้ไขมันพอกตับอ่อนจนท่อตัน ส่งผลให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย

2. แอลกอฮอล์: ตัวกระตุ้นซ้ำเติม แอลกอฮอล์กระตุ้นให้ตับอ่อนผลิตเอนไซม์มากขึ้น และทำให้ท่อส่งเอนไซม์หดตัวเฉียบพลัน ส่งผลให้เอนไซม์ย่อยอาหารไหลย้อนมาทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง

แพทย์แนะ 5 วิธีป้องกัน "ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน"

ควบคุมไขมันในเลือด หากไตรกลีเซอไรด์ > 5.6 mmol/L ควรรีบจัดการ
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และการกินมากเกินพอดี โดยเฉพาะเมื่อทำร่วมกัน
ตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด
คนกลุ่มเสี่ยงสูง (เช่น อ้วน เบาหวาน ความดันสูง) ต้องควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด
หากมีอาการปวดท้องส่วนบนไม่หาย ให้รีบไปโรงพยาบาลภายใน 6-12 ชั่วโมง

คนหนุ่มสาวกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น

แพทย์จีนเผยว่า ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันในคนหนุ่มเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล โดยกว่า 30% มีพฤติกรรมดื่มชาไข่มุกและน้ำอัดลมเป็นประจำ ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนและความผิดปกติของระบบเผาผลาญ