ไขปริศนา “ของเหลวหนืด” อายุ 2,500 ปี ในวิหารกรีกโบราณ วิทยาศาสตร์มีคำตอบแล้ว แท้จริงคือ “น้ำผึ้ง”
กว่า 2,500 ปีหลังจากถูกฝังอยู่ในดิน ปริศนาของ “ของเหลวหนืด” แปลกประหลาดที่เก็บอยู่ในไหสัมฤทธิ์โบราณก็ถูกไขอย่างสิ้นเชิง และคำตอบกลับชวนประหลาดใจยิ่งกว่าที่หลายคนคาดคิด
นักวิจัยเผยว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ส่วนผสมลึกลับหรือสารเวทมนตร์ใดๆ แต่คือ "น้ำผึ้ง" ที่อาจยังอยู่ในรูปของ “รังผึ้งดั้งเดิม” การค้นพบครั้งนี้ไม่เพียงคลายปริศนาทางโบราณคดี แต่ยังให้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับพิธีกรรมและวิถีชีวิตของชาวกรีกโบราณ ตอบคำถามจากการค้นพบในปี 1954 ถึงปริศนาที่ยืดเยื้อมานาน
ปี 1954 นักโบราณคดีได้ขุดพบวิหารที่ซ่อนอยู่ใต้เมือง Paestum ทางตอนใต้ของอิตาลี ภายในพบไหสัมฤทธิ์หลายใบจัดเรียงรอบเตียงเหล็ก แต่ละใบปิดสนิทด้วยจุกไม้ก๊อก และภายในมี "สารคล้ายขี้ผึ้งมีกลิ่นหอม" ซึ่งเดิมเป็นของเหลว
แม้จะมีการวิเคราะห์ในห้องแล็บหลายแห่งระหว่างปี 1954-1983 ผลลัพธ์ยังคงเป็นปริศนา เพราะสารนี้ไม่ละลายน้ำ ไม่มีน้ำตาลหรือโปรตีน มีเพียงไขมันคล้ายขี้ผึ้งและยางไม้ ทำให้นักวิจัยบางคนสงสัยว่าอาจมีชั้นขี้ผึ้งถูกเติมเข้าไปภายหลัง ปิดบังสิ่งที่อยู่ข้างใน
โอกาสสำคัญมาถึงในปี 2019 เมื่อไหจากวิหาร Paestum ถูกนำไปจัดแสดงที่ พิพิธภัณฑ์ Ashmolean สหราชอาณาจักร พร้อมกับโอกาสให้ทีมจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดได้ตรวจสอบอีกครั้ง
ด้วยเทคนิคขั้นสูงอย่าง การวิเคราะห์มวลสาร (Mass Spectrometry) และการตรวจสอบองค์ประกอบโมเลกุล ทีมวิจัยพบหลักฐานชัดเจนว่า สารหนืดนี้คือน้ำผึ้ง มีทั้งน้ำตาล กรดอินทรีย์ และโปรตีนจากนมผึ้ง (Royal Jelly) องค์ประกอบใกล้เคียงกับน้ำผึ้งและขี้ผึ้งยุคปัจจุบันอย่างน่าทึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น การวิเคราะห์ผิวหน้าด้วย X-ray Photoelectron Spectroscopy ยังพบว่ามีการจับตัวของทองแดงจากไหสัมฤทธิ์ ซึ่งมีคุณสมบัติต้านจุลชีพตามธรรมชาติ อาจช่วยปกป้องน้ำตาลในน้ำผึ้งให้คงอยู่ไม่เน่าเสียมานานนับพันปี
- ได้ยินเสียงแปลกๆ ในถังน้ำ ตะลึงพบสัตว์ที่ “คิดว่าสูญพันธุ์” ไปกว่า 30 ปี ออกมาเผยโฉม!
- เดินสะดุดหินยักษ์ นึกว่า "หมูสามชั้น" ระดมหนุ่มๆ ช่วยขนกลับบ้าน คุ้มค่าแพงมหาศาล!
นอกจากไขปริศนาน้ำผึ้งแล้ว ทีมนักวิจัยยังใช้เทคโนโลยีตรวจสอบวัตถุโบราณอื่นๆ อีก 37 ชิ้น พบร่องรอยการใช้งานจริง เช่น คราบไหม้ใต้ไหบางใบที่อาจถูกใช้ต้มอาหาร และคราบหินปูนหนาในบางใบที่บ่งชี้ว่าเคยใช้ต้มและเก็บน้ำ
สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจพิธีกรรมและชีวิตประจำวันของผู้คนเมื่อ 2,500 ปีก่อนชัดเจนขึ้น และตอกย้ำว่าโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ไม่ได้เป็นเพียงของเก่าไร้ชีวิต แต่เป็น “ผู้เล่าเรื่อง” เงียบๆ ที่รอการถอดรหัส
งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ใน Journal of the American Chemical Society นี้ ถือเป็นตัวอย่างทรงพลังของการผสานความรู้โบราณคดีกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่สามารถปลดล็อกความลับทางประวัติศาสตร์ได้อย่างน่าทึ่ง