จีนยกย่อง "ปลาไหล" กินดียิ่งกว่าโสม โปรตีนแน่นกว่าแซลมอน คุณค่าทางโภชนาการระดับซูเปอร์ฟู้ด ทั้งบำรุงตับ เสริมภูมิคุ้มกัน และดูแลหัวใจ!
ปลาไหล กลายเป็นอาหารสุขภาพที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งสื่อท้องถิ่นถึงขั้นยกย่องว่า “ดีต่อสุขภาพยิ่งกว่าโสม” เนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหารที่หลากหลาย และมีคุณสมบัติบำรุงตับ ไต และระบบภูมิคุ้มกัน
ตามรายงานจาก China News ชาวจีนเชื่อว่าการรับประทานปลาไหลในฤดูร้อน สามารถช่วยบำรุงร่างกายได้อย่างล้ำลึก เทียบโปรตีนสูงกว่าแซลมอน สารอาหารหลากหลาย โดยยกให้มีคุณค่าสูงกว่าการรับประทานโสม
ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ระบุว่า ปลาไหลปรุงสุก 100 กรัม ให้โปรตีนถึง 23.6 กรัม ซึ่งมากกว่าปลาแซลมอนปรุงสุกที่มี 22.1 กรัม นอกจากนี้ ปลาไหลยังอุดมไปด้วยวิตามิน A, B6, B12, C, แคลเซียม, แมกนีเซียม, ธาตุเหล็ก, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม, สังกะสี และกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
5 ประโยชน์สำคัญของปลาไหลต่อร่างกาย
-
บำรุงและปกป้องตับ: วิตามิน A ในปลาไหลช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ตับ และเสริมการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย
-
เสริมภูมิคุ้มกัน: วิตามิน A, C, D และแร่ธาตุสังกะสีในปลาไหลมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันเชื้อโรค และเสริมความแข็งแรงให้เยื่อบุในระบบหายใจและทางเดินอาหาร
-
ดีต่อหัวใจและหลอดเลือด: ปลาไหลมีกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่น DHA และ EPA ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลดี (HDL) รวมถึงมีโพแทสเซียม วิตามิน B ธาตุเหล็ก และแมกนีเซียม ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
-
บำรุงกระดูกและข้อ: วิตามิน D ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม ขณะที่แคลเซียมและฟอสฟอรัสในปลาไหลช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุนและข้อเสื่อม
-
เสริมสร้างความจำและสมอง: ปลาไหลมี DHA และเลซิติน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยพัฒนาสมองและความจำ การบริโภคเลซิตินเป็นประจำอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความจำได้มากถึง 20% ตามรายงานการวิจัยหลายฉบับ
ประเทศไทย แหล่งปลาไหลพื้นบ้านที่มีศักยภาพส่งออก
ปลาไหล เป็นสัตว์น้ำที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตของชาวไทยมาช้านาน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน ซึ่งมีแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น นาข้าว หนองน้ำ และคลองธรรมชาติ ที่ปลาไหลนา (Monopterus albus) พบได้ทั่วไป และถูกนำมาใช้เป็นอาหารพื้นบ้านอย่างแพร่หลาย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเริ่มมีการเพาะเลี้ยงปลาไหลเชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ เช่น นครสวรรค์ กำแพงเพชร สุโขทัย และพัทลุง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการภายในประเทศ รวมถึงรองรับโอกาสทางการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมีความต้องการบริโภคปลาไหลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้การส่งออกปลาไหลของไทยจะยังอยู่ในระยะเริ่มต้นเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่จากแนวโน้มความนิยมในอาหารสุขภาพ และการยกย่องปลาไหลในจีนว่าเป็นอาหารที่ “ดีกว่าโสม” ไทยก็มีโอกาสในการพัฒนาตลาดปลาไหลให้เติบโตได้อีกมากในอนาคต ภาครัฐและเอกชนไทยเริ่มให้ความสำคัญกับการเพาะเลี้ยงแบบมาตรฐาน GAP รวมถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง เพื่อเพิ่มมูลค่าและตอบโจทย์ตลาดต่างประเทศ
เพราะปลาไหลไม่ใช่เพียงแค่อาหารพื้นบ้าน แต่ยังเป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” ที่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ช่วยบำรุงร่างกายหลายระบบ ทั้งตับ หัวใจ กระดูก และสมอง ขณะเดียวกันก็สร้างรายได้ให้เวียดนามจากการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนที่มีความต้องการสูงขึ้นต่อเนื่อง
- เช็กชื่อ! ปลา 5 ชนิด โภชนาการพอๆ กับแซลมอน แต่ซื้อได้ในราคาถูกกว่า ใครก็เอื้อมถึง
- หนุ่มโคม่าหลัง "กินปลา" หลายอวัยวะล้มเหลว หมอเตือนส่วนที่ "ห้ามกิน" พิษยิ่งกว่าสารหนู!