จากกรณีที่นักร้อง-นักแสดงหนุ่มหล่อ ไมค์ พิรัชต์ ออกมาโพสต์เดือดบน X บอกว่า "ดูดีจังเลยนะ สร้างภาพเก่งสุดแล้วทำคนอื่นโดนด่า เหยียบคนอื่นให้ตัวเองสูงขึ้นแต่ก็สูงได้แค่นั้นแหละ รู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร จะตั้งใจหรือคึกนึกสนุกโดยไม่ใช้สมองคิดก็ให้มันพอดีนะ" ซึ่งก็ทำเอาชาวโซเชียลต่างพากันสงสัยว่าใครทำให้ ไมค์ ของขึ้น
ซึ่งล่าสุด ไมค์ พิรัชต์ ได้ไปร่วมงาน “A NIGHT OF STELLAR HONORS - AESLA AWARDS 2024” ที่จัดขึ้นโดย AESLA (เอสล่า) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ด้านความงามและเวชสำอางชั้นนำระดับโลก ก็ได้เปิดใจถึงเรื่องที่ออกมาโพสต์เดือด รวมถึงโมเม้นต์ที่ได้ไปร่วมเป็นแขกรับเชิญในงานแฟมมีตติ้ง น้องหมีเนย ด้วย
ได้ข่าวว่าไมค์มีเป้าหมายอยากสตาฟหน้านี้ไว้ ?
"จริงๆ ผมมีเป้าหมายที่มีมาตั้งแต่เด็กแล้วครับคือผมต้องการสตาฟหน้าเอาไว้ให้อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยครับ เพราะตอนเด็กๆ ชอบแวมไพร์ ก็เลยอยากสตาฟไว้ สมมุติว่าต่อให้อายุ 40 หรือ 50 หรือ 60 เราก็ยังมีหน้าอย่างนี้อยู่ได้ซึ่งสมัยนี้มันมีนวัตกรรมหลายอย่างมากๆที่สามารถช่วยชะลอความแก่ ซึ่งผมก็เป็นคนดูแลตัวเองมาตั้งแต่อายุประมาณ 10 ขวบแล้วครับ เพราะเห็นคุณแม่ทาครีม เราก็เคยสงสัยว่าทาทำไม เราก็เลยทาบ้าง ก็เลยดูแลตัวเองมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วพอมายุคนี้ที่มันมีเทคโนโลยีต่างๆ นวัตกรรมใหม่ๆ ต่างๆ เราก็เลยจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ"
ไม่ได้แอนตี้ใช่ไหม ?
"ถ้ามีตัวช่วยที่จะทำให้เราสามารถสตาฟหน้าไว้ได้ เราก็ไม่รู้จะไปแอนตี้มันทำไม ถูกไหมล่ะครับ ก่อนนอนไม่มีใครเห็นหน้าผม ผมยังต้องเขียนคิ้วนอนเลย (หัวเราะ) เพราะเราต้องรู้สึกว่าเหมือนอยู่ในการ์ตูนตลอดเวลา ตื่นมาแล้วเราต้องเป๊ะ คือต่อให้นอนอยู่เราก็ต้องเป๊ะเหมือนในละครไทย เขียนคิ้วนอนเพื่อความมั่นใจ เวลาเราฝันเราจะได้รู้สึกว่าหน้าเราในฝันยังหล่ออยู่ เผื่อเราไปเจอคนที่เราชอบในฝันขึ้นมา แล้วถ้าเราไม่มีคิ้วมันก็ไม่โอเคนะ"
เขียนใหม่หรือตอนคลีนหน้าเว้นคิ้วไว้ ?
"ไม่ ก็คือหมายถึงว่าผมคลีนหน้าเสร็จ ผมล้างหน้า อาบน้ำ แปรงฟันเสร็จเรียบร้อย ก่อนทาครีมผมก็เขียนคิ้วเลย แล้วผมก็ทาครีม"
อ้างอิงจากละครไทยหรือเปล่า ?
"ไม่ได้อ้างอิงครับ ผมคิดเอง (หัวเราะ) จริงๆ ก็เหมือนละครไทยครับ ที่เวลาเข้าโรงพยาบาลแล้วมีขนตา ฟิลๆ นั้น ใช่ครับ (เขียนคิ้วนอนมานานหรือยัง ?) เขียนคิ้วนอนมา เพิ่งเริ่มเมื่อวานครับ (หัวเราะ) คนไทยพูดไปเรื่อย ผมเอนเตอร์เทนเก่งขึ้น"
ไปขึ้นคอนเสิร์ตกับน้องหมีเนยเป็นไงบ้าง ?
"ชอบน้องหมีเนยมากเลย ผมรักน้องหมีเนยครับ ชอบน้องหมีเนยมากเลย"
ไปโดนตกที่งานใช่ไหม ?
"คือจริงๆ ผมชอบไปเดินที่แถวๆ เอ็มสเฟียร์ อยู่แล้ว ก็บางก็จะเห็นบ้างแวบๆ ผมใส่หน้ากากใส่หมวกเดิน ก็เห็นว่าคนเยอะจังเลย ทำอะไรกันก็เห็นว่าน้องเต้นหรือน้องทำอะไร ก็โอ้ น่ารักดี แต่ว่าพอได้ไปสนทนากับน้อง"
คุยกันภาษาอะไร ?
"เกาหลีครับผม (ยิ้ม)"
สื่อสารยังไง ?
"ก็จะมีภาษามือด้วย แล้วก็พูดเป็นเสียงด้วย (เข้าใจที่น้องสื่อสาร ?) เข้าใจในสิ่งที่น้องสื่อสารครับ คือน้องเขาก็ใช้ภาษามือ เราก็จะมีขอบคุณนะ ก็มีพูด แล้วก็ตกใจนิดนึงตอนแรกกะว่าจะแซวขำๆ พูดเป็นภาษาเกาหลีใส่น้องเขา แต่ว่าเขาตอบกลับได้ ผมก็เลย เอ้า น้องเขาเข้าใจภาษาเกาหลีหนิ"
พูดว่าอะไร ?
"ผมก็บอกว่า แพโกพาโย ? หิวไหม แล้วก็ชวนไปกินข้าวกัน แล้วน้องเขาก็ทำมือสัญญา ถ้าสมมุติเห็นผมไปกินข้าวกับน้องเนยก็ไม่ต้องตกใจนะครับเราเป็นเพื่อนกันจริงๆ ครับ (ยิ้ม)"
จริงๆ ถ้าไปกินข้าวกับน้องคิดว่าเราจะพาน้องไปกินร้านอาหารไหน หรือคิดว่าอาหารไหนเหมาะกับน้อง ?
"ผมเคยคิดเรื่องนี้ แล้วก็คิดหนักเหมือนกัน (หัวเราะ) ว่าผมจะให้เขากินยังไง"
คิดว่าเมนูไหนเหมาะกับน้อง ?
"ก็อาจจะให้กินทุเรียน แต่ทุเรียนก็อาจจะมีกลิ่นแรงนิดนึง ก็เป็นช็อกโกแลตแล้วกัน"
พาน้องไปในฐานะอะไร ?
"ผมชัดเจนนะครับ ผมลงทวิตเตอร์แล้วว่าผมเป็น หมีไมค์ ผมเอาที่มัดหัวมาผูกแล้ว เป็นพี่ชายของหมีเนยอีกทีนึง เรียกว่าหมีไมค์ เคลียร์สถานะกันเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ ครับ (ทำหน้าเศร้า)"
ที่เขานั่งเบียดแล้วเราตกเก้าอี้ในคอนเสิร์ต ?
"ที่เขานั่งเบียดเหรอครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับผม ผมก็..(เขิน) ไม่.. เราก็ซ้อมกันมาก่อนอยู่แล้ว"
ตอนซ้อมเราตกไหม ?
"ตอนซ้อมเขาก็ไม่ได้เบียดเราขนาดนี้ (ยิ้ม) ตอนซ้อมก็คือเบียดแบบน่ารัก คิ้วท์ๆ แต่แสดงจริงกับตอนซ้อมมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว มันอยู่ที่ฟิลลิ่ง ฟิลลิ่งมันได้ตอนนั้น"
ไปแย่งรถน้องเขานั่ง ?
"ผมไม่ได้แย่ง ผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว คือจริงๆ ที่ผมขับนอกประตูไป คือรถมันเลี้ยวไม่ได้ก็เลยต้องกลับรถข้างนอกก่อน แต่สิ่งที่น้องเห็นเหมือนผมไปแย่งของน้อง ซึ่งผมไม่ได้แย่งรถน้องเลย ผมก็ไปกลับรถเฉยๆ แล้วเอากลับมาให้น้องนั่ง"
ตอนน้องขับเป็นยังไง ?
"ก็น่ารักดีครับ ขยึบ ขยึบ"
เป็นห่วงความเร็วเขาไหม ?
"เป็นห่วงนิดนึง เพราะน้องขับเร็วไปหน่อย"
สิ่งที่เราโพสต์มันคืออะไรหลายคนตกใจ เพราะเราไม่เคยทำ ?
"วันนั้นก็พิมพ์ โพสต์กันอย่างเร่งรีบ คือกำลังจะขึ้นไปรันทรูแล้ว ด้วยความที่เห็นข้อความต่างๆ อารมณ์ตอนนั้นมันมา ก็เลยพิมพ์ไป เรายังไม่ได้อ่านให้ครบถี่ถ้วนด้วยซ้ำ แล้วก็ลงไป แต่ว่าเรื่องพวกนี้เราก็เคลียร์ไปแล้ว และมันเป็นเรื่องเก่าไม่อยากเอามาเล่าใหม่"
แล้วตอนนั้นมันเสียความรู้สึกยังไง เราถึงต้องระบายมันออกมา ?
"มันก็หลายเรื่องครับผม จริงๆ โดนมานานแล้ว เรียกว่าเป็นหลักปีดีกว่า แล้วเราก็เมินมาตลอด โดนบูลลี่เราก็ปล่อยไปๆๆๆ จนวันหนึ่งเรารู้สึกว่าดาราก็ไม่ใช่ขยะของสังคม ที่ทุกคนจะโยนอะไรใส่เราก็ได้ จะเอามีดมาทิ่มใส่เราก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ เราก็มีสิทธิ์ที่เราจะตอบโต้หรือสู้กลับ"
"ซึ่งเดี๋ยวนี้ดาราหลายๆ คนก็ออกมาสู้เพื่อสิทธิ์ของตัวเองเหมือนกัน ใช่ เราเป็นคนของประชาชน แต่เราไม่ใช่ขยะของประชาชน เราคือคนของประชาชนที่เราเอนเตอร์เทนพวกคุณ เราไม่ได้เป็นคนที่มานั่งให้พวกคุณมาด่าทอ หรือต่อว่า หรือแบบมาบูลลี่ ขนาดคนปกติธรรมดาโดนบูลลี่เขายังมีคนออกมาปกป้องเลย อันนี้เราโดนบูลลี่เราก็ต้องเอามาสู้ของเราเหมือนกัน"
อย่างคอมเมนต์หรือข้อความไหนที่อ่านแล้วรู้สึกว่ามันรุกล้ำความเป็นส่วนตัว ?
"จริงๆ เยอะ แต่ไม่อยากพูด เพราะเรื่องมันก็จบไปแล้ว คือตอนนี้ก็ตัดสินใจไปแล้ว เพื่อนๆ ผมก็บอกว่าไม่ต้องไปสนใจหรอกคำพูดของคนพวกนี้ ชีวิตเขามันไม่มีอะไรดี เขาเลยอยากดึงเราไปอยู่กับเขา เราก็อย่าไปอยู่กับเขาตรงนั้น เราก็อยู่ในที่ของเราแบบนี้ดีแล้ว"
เราจะมีการฟ้องให้เห็นเป็นตัวอย่างไหม ?
"เสียเวลา ไม่ฟ้องหรอกครับ หรือว่าฟ้องดี"
มีคนแนะนำไหม ?
"ก็มีคนบอกว่าฟ้องเลยๆๆ แต่ผมก็แค่ทุกวันนี้งานก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว ไปฟ้องก็ต้องจ้างทนายอีก ก็ต้องวุ่นวายอีก ก็ต้องเสียเงินอีก ก็เลยช่างมันเถอะ เหนื่อยๆ"
อย่างพอประโยคนี้มันขึ้นมาทุกคนก็โยงไปเรื่องของอังอัง ?
"เอาจริงๆ ผมไม่รู้ว่าไปโยงได้ไง ทุกวันนี้คือบางเรื่องไม่เกี่ยวกับผมเลย หรือบางเรื่องไม่เกี่ยวกับคนนี้ก็ไปโยงได้ คือผมคิดว่าการเสพสื่อในอินเตอร์เน็ต หรืออะไรต่างๆ นานา เสพอย่างมีสติ แล้วก็อย่าอินจนเกินไป เพราะเราไม่รู้เลยว่าเบื้องลึกเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นคู่จิ้นนั้น คู่จิ้นนี้ คู่จิ้นนู้น เบื้องลึกเบื้องหลังเขาเป็นยังไง มโนได้ แต่อยู่ในพื้นที่ของตัวเองพอ อย่าไปรุกล้ำพื้นที่ของคนอื่นเขา"
พอไปโยงถึงอันนั้นเสร็จมันก็ไปโยงถึง แน็ก-กามิน ตอนนั้นมีข่าวพอดี ?
"ไม่เกี่ยวเลย เอาจริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ดูข่าวของพวกเขาด้วย ผมไม่รู้ข่าวสารของชาวบ้านคนอื่นเลย ผมรู้แต่ของตัวเอง แค่เช็ก #ไมค์พิรัชต์ ผมก็ดูถึงเช้าแล้ว (ยิ้ม)"
ไมค์กับอังอังคือยังไงกัน ที่เราไลฟ์คู่กันในติ๊กต็อก ?
"มันก็คือไลฟ์ไงครับ ไลฟ์กันเฉยๆ"
แล้วคนก็จะไปโยงกัน แล้วก็มีจินรถแห่ และฮาน่าเข้ามาอีก ?
"เดี๋ยวผมไปไลฟ์กับคนนู้น ก็จับผมไปจิ้นกับคนนู้น เดี๋ยวก็มีคนนู้น คนนี้ คนนั้นเพิ่มมาเรื่อยๆ ผมก็เลยพักไลฟ์ประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว (เหมือนดีท็อกซ์) ใช่ ผมก็ดีท็อกซ์ตัวเองไปเลย เดี๋ยวค่อยกลับมาใหม่"
ที่หายไปไม่ไลฟ์ มันโอเคขึ้นกับชีวิตเราไหม ?
"พอไม่ไลฟ์ก็ดีครับ ผมก็บินไปจีนมา ไปคุยงานนู้นนี่นั่นต่างๆ นานา จริงๆ ก็แอบเป็นผลดีเหมือนกันนะ แต่ตอนนี้ผมยังไม่บอกว่าผมมีโปรเจกต์อะไร เพราะมันยังไม่เกิดไง ถ้ามันยังไม่เกิดก็อย่าเพิ่งบอกดีกว่า แต่ว่ามันเป็นผลดีกับการที่ว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น 1 เรื่อง ทำให้เราบินไปต่างประเทศทำให้มีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้น มันก็ดีกับตัวเรา ซึ่งผมคิดว่ามันก็เป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่องไม่ดีหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งตอนนี้ก็พร้อมที่จะกลับมาไลฟ์อีกครั้งหนึ่ง แต่อาจจะแล้วแต่ฟิลแล้วกัน เอาความสะดวกสบายใจของตัวเองดีที่สุด"
แต่ตอนนี้สบายใจแล้วที่ไม่ได้เสพ คอมเมนต์ที่ผ่านมา ?
"ก็ไม่ได้เสพคอมเมนต์แล้วครับ แค่ด่ากลับนิดหน่อย (หัวเราะ)"
ไมค์จะสู้แล้ว ?
"ก็ถ้าอันไหนดูแล้วรู้สึกว่าอารมณ์อยากจะด่า ก็จัดมาสิ ทำไมเราเป็นดาราแล้วต้องอยู่เฉยๆ แล้วคนมาบอกว่าคุณไปด่าแฟนคลับแบบนี้คุณไม่เป็นมืออาชีพ แต่การที่ด่ากลับมันคือเราไม่เป็นมืออาชีพเหรอ ก็ไม่ใช่ บางคนที่มาว่าเราก็ไม่ใช่แฟนคลับเราอยู่แล้ว มันก็เหมือนคนในอินเตอร์เน็ตทั่วไป แล้วการเป็นมืออาชีพ คือการที่เราต้องยืนรอรับคำบูลลี่ของคุณเหรอ มันก็ไม่ใช่ ผมก็เลยคิดว่าด่ามาด่ากลับไม่โกง เราคนไทย"
ไมค์จะไม่เป็นเหยื่อของใครอีกต่อไป ?
"ไม่เป็นเหยื่อครับผม เป็นผู้ล่าตอนนี้"