ผอ.เอฟบีไอไขก๊อก หลังทรัมป์ส่งสัญญาณตั้งคนใหม่

1 week ago 6
❤️ ARTICLE AD BOX ❤️

คริสโตเฟอร์ วเรย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนกลางสหรัฐฯ หรือ เอฟบีไอ จะลงจากตำแหน่งในต้นปีหน้า หลังจากว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่าจะตั้งคนใหม่มาแทน

วเรย์ ซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกันเช่นกัน ได้รับแต่งตั้งจากทรัมป์ให้ดำรงตำแหน่งผอ.เอฟบีไอเมื่อปี 2017 ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก โดยเข้ามาแทนที่ของ เจมส์ โคมมีย์ ผู้ที่ถูกทรัมป์สั่งปลดสืบเนื่องจากการสอบสวนเรื่องคสามสัมพันธ์ของทรัมป์กับรัสเซีย

แถลงการณ์ของเอฟบีไอระบุว่า วเรย์ได้กล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ของเอฟบีไอในวันพุธว่า "หลังจากขบคิดอย่างรอบคอบมาหลายสัปดาห์ ผมตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้องสำหรับสำนักงานแห่งนี้ คือการลงจากตำแหน่งเมื่อหมดวาระในเดือนมกราคม"

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าทรัมป์จะแต่งตั้ง แคช พาเทล อดีตเจ้าหน้าที่ความมั่นคงและผู้ภักดีต่อทรัมป์ เป็นผู้อำนวยการเอฟบีไอคนใหม่ ซึ่งเขาเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของผู้อำนวยการด้านข่าวกรองแห่งชาติและกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์สมัยแรก และเคยออกมาเรียกร้องให้มีการถอดเอฟบีไอออกจากบทบาทการเป็นหน่วยข่าวกรอง และเข้าจัดการผู้ที่ไม่สนับสนุนแนวนโยบายของทรัมป์ในองค์กรนี้

ทั้งนี้ วเรย์ มีวาระดำรงตำแหน่ง 10 ปี ซึ่งสิ้นสุดในปี 2027 และก่อนหน้านี้ไม่มีสัญญาณว่าเขาจะลาออกจากตำแหน่งก่อนกำหนดแต่อย่างได้

เอฟบีไอภายใต้การนำของวเรย์ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา เผชิญกับเสียงวิจารณ์เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ จากกรณีการสืบสวนที่มุ่งเป้าไปที่ตัวทรัมป์เองและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเขา

เมื่อปี 2022 เอฟบีไอบุกค้นบ้านพักตากอากาศของทรัมป์ที่มาร์ อะ-ลาโก รัฐฟลอริดา เพื่อค้นหาเอกสารลับของรัฐบาลที่ทรัมป์นำติดตัวไปด้วยตอนออกจากทำเนียบขาว ซึ่งนำไปสู่การฟ้องร้องต่อว่าที่ปธน.สหรัฐฯ ผู้นี้ ก่อนที่อัยการของรัฐบาลกลางจะยุติกระบวนการดำเนินคดีเมื่อทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมเือเดือนที่แล้ว โดยอ้างนโยบายของกระทรวงยุติธรรมที่จะไม่ดำเนินคดีกับประธานาธิบดีที่อยู่ในตำแหน่ง

นอกจากนี้ เอฟบีไปในสมัยของวเรย์ยังมีบทบาทสำคัญในการสืบสวนและจับกุมผู้สนับสนุนทรัมป์หลายคนที่บุกรุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 ด้วย โดยมีผู้ถูกตั้งข้อหามากกว่า 1,500 คนจากเหตุการณ์ดังกล่าว

  • ที่มา: รอยเตอร์

กระดานความเห็น

Please enable JavaScript to view the comments powered by Disqus.
Read Entire Article