พยาบาลตั้งครรภ์เล่านาทีชีวิต หนุ่มคลั่งไล่ฟันคนใน รพ. กอดคนไข้หนีตายในห้องน้ำ

1 day ago 3
❤️ ARTICLE AD BOX ❤️

พยาบาลตั้งครรภ์เล่านาทีชีวิต ผู้ป่วยคลั่งไล่ฟันคนใน รพ. กอดคนไข้คนอื่นๆ หนีตายในห้องน้ำ ญาติมองว่าตำรวจวิสามัญเกินกว่าเหตุ

วันที่ 4 ม.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความคืบหน้ากรณีที่ นายอภิชัย อายุ 26 ปี เสียชีวิตจากเหตุถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ เข้าระงับเหตุ

โดยผู้ตายได้เข้ามารักษาตัวด้วยโรคไส้ติ่งอักเสบที่โรงพยาบาลสุรินทร์ และนอนพักฟื้นอยู่ภายในห้องผู้ป่วยรวม โรงพยาบาลสุรินทร์ อาคาร 9 ชั้น 4  ก่อนจะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง อาละวาด ใช้อาวุธขวานจากที่เก็บไว้เป็นอุปกรณ์ดับเพลิง และเสาน้ำเกลือ ไล่ทำร้ายผู้ป่วย ญาติผู้ป่วยอื่น และทรัพย์สินทางราชการ ตำรวจสายตรวจ 2 นายจึงเข้าระงับเหตุและผู้ก่อเหตุถูกยิงเสียชีวิต 

ญาติคาใจตำรวจวิสามัญเกินกว่าเหตุ

นางปราณี อายุ 56 ปี แม่ของผู้ตาย เปิดเผยว่า วันนั้นลูกชายอาเจียนทั้งวัน ลุกไม่ได้ ชักสองครั้ง หลังจากฉลองเคานต์ดาวน์ จึงแจ้งรถกู้ชีพมารับไปรักษาตัวที่ รพ.จอมพระ คืนวันที่ 1 ม.ค.68 หมอตรวจเจาะเลือด เอ็กซเรย์สมอง หมอว่าคนไข้เป็นไส้ติ่ง เลยส่งตัวไปรักษาที่ รพ.สุรินทร์ ต่อในวันที่ 2 ม.ค.68 และเข้าผ่าตัดไส้ติ่งตอนตีสองของวันนั้น คนไข้มีประวัติเคยชัก หมอเลยฉีดยากันชัก คนไข้ฟื้นขึ้นมา ก็ถามแม่ว่าทำไมผมเป็นอย่างนี้ หมอใส่ยาอะไรให้ผม เลยบอกไปว่าหมอกลัวชัก จะทำให้แผลผ่าตัดฉีกเลยฉีดยาให้ แม่อยู่กับเขาตลอดเวลา บอกเขาว่าสู้ๆ เดี๋ยวก็หาย ยานี้ก็เป็นแบบนี้แหละ แม่เคยให้ยาเขาเวลาชัก เขาจะนอนพูดไปเรื่อยเหมือนคนละเมอ เขานอนหลับแต่มือเขาจะกระดิกไปมา แม่สงสัยว่าเกิดจากฤทธิ์ยากันชัก 

ตอนเกิดเหตุแม่ไปเข้าห้องน้ำกลับมา เห็นผู้ช่วยพยาบาลพูดว่ามือทำไมอยู่ไม่นิ่ง เอามือไปเล่นจะถอดสายน้ำเกลือให้หลุด หมอก็เปลี่ยนใส่แขนอีกข้างและก็ย้ายเตียง ผู้ช่วยพยาบาลสองคนพูดไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จากฟังจากสำเนียง ลูกชายบอกทำไมย้ายมาตรงนี้ ตนเลยบอกว่าจะหายแล้ว เขาเลยย้ายจะกลับแล้ว ส่วนพยาบาลก็เอายากันชักมาฉีด เขาฉีดไม่ถึง 10 นาที เขานอนหลับและตื่นมาและถามตนอีกว่า เขาอยู่ที่ไหน ทำไมผมเป็นแบบนี้ สักพักเขาลุกพรวดและดึงสายน้ำเกลือทิ้ง แม่ก็สติหลุดเลยเรียกให้พยาบาลช่วย ช่วยด้วย แม่ก็หนี แล้วแม่ก็กลับมา เขาบอกไม่ให้มายุ่งอะไร หลังจากนั้นก็หลุดเลย ได้ยินเสียงอาละวาด ได้ยินแต่เสียงพยาบาลร้องส่งเสียงดัง ตนก็ชะเง้อดูลูกเรื่อยๆ คนไข้ก็นอนอยู่เต็ม ที่นอนและลุกไม่ได้ถ้าเขาตีคงตายกันหมดแล้ว แต่แม่คิดว่าเขาคงข้องใจกับผู้ช่วยพยาบาล 2 คนนั้นที่ว่าเขา

พอแม่เปิดประตูไปเห็นเขาถือขวาน แม่ก็กลัว แต่ตนไม่เห็นว่าลูกแม่ตีใคร เห็นแต่ยามอยู่หน้าประตู แม่วิ่งลงมาทางประตูหนีไปสักพักก็ได้ยินเสียงปืน 4 นัด แม่โทรคุยกับลูกคนโตว่า น้องมันคลั่ง มันหลอนอาละวาด  ให้มาดูน้อง พอได้ยินเสียงปืน เท่านั้นเลยรู้ว่าเจ้าหน้าที่คงยิงแล้ว เลยบอกให้พาพี่น้องมาที่ รพ.สุรินทร์เลย ตอนเขาอายุประมาณ 16 ปี เขามีประวัติเสพยาอยู่ แต่ตอนนี้เขาบอกเลิกแล้ว แต่ตนไม่เคยเชื่อลูก เพื่อนๆ เขาบอกว่าเขาไม่เคยยุ่งและแตะต้องเลย แต่เหล้าเขากินหนัก

ที่ติดใจคือลูกแม่ไม่ได้ฆ่าใครตาย ไม่ได้ทำร้ายผู้ป่วยหนักหนา แค่ทำลายข้าวของ ทำไมต้องถึงขั้นวิสามัญลูกแม่ด้วย ระหว่างเกิดเหตุตนก็ไม่เห็น แต่เพื่อความชัดเจนและสบายใจ แม่ขอดูกล้องวงจรปิด ว่าลูกชายทำอะไรยังไงบ้าง จะได้รู้ว่าลูกตนเองไล่ตีพยาบาลหรือตีใครมาบ้าง ที่ข้องใจอยู่  เมื่อวานรอง ผอ.รพ.สุรินทร์ ก็มาส่งตนเองที่บ้านพร้อมกับศพ เขาก็พูดแสดงความเสียใจ กับเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ตำรวจยังไม่มา เขาบอกว่าสุดวิสัย เป็นการป้องกันตัว แม่ข้องใจอยากดูกล้องวงจรปิด ฝากนักข่าวด้วย สังคมตอนนี้ก็โจมตีแม่แล้ว บางคนก็ว่าลูกเราดี แต่เราก็ต้องสืบสอบถามชาวบ้านชาวช่องด้วย ว่าลูกเป็นคนยังไง ถึงเขากินเหล้าหนัก อัธยาศัยดี เขาไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยเป็นแบบนี้ ช่วยงานชาวบ้านตลอด  น่าจะเกิดจากยาหมอให้หรือไม่ที่ทำให้ลูกชายคลุ้มคลั่ง และทราบเรื่องการเยียวยาด้วย ไม่ใช่สังคมโจมตีว่าลูกชายและตายอย่างหมาข้างถนน ไม่มีแม่คนไหนหรอก ที่อยากให้ลูกเป็นแบบนี้ อยากให้รู้หัวอกแม่ด้วย

ด้านนางสุพิน อายุ 42 ปี น้าสาวผู้ตาย บอกว่า ผู้ตายเป็นคนขี้เล่น ชอบหยอก นิสัยธรรมดา ตามประสาวัยรุ่น ส่วนใหญ่เขาชอบชัก การคลุ้มคลั่งไม่มี มีแต่เคยขู่ถ้ามีปัญหากับใคร แต่ไม่เคยมีถึงขั้นลงไม้ลงมือ แต่ติดว่าการที่ไปรักษาตัวในนามคนป่วย แต่ญาติกลับได้รับศพมา การกระทำของตำรวจเกินกว่าเหตุไหม อยากให้เขาได้รับความเป็นธรรม แต่ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรบ้าง แต่เห็นสภาพศพแล้วรับไม่ได้ เห็นว่าโดนยิง ฝ่ามือ แขน ซี่โครงทะลุ และต้นขา น่าจะสี่นัด การระงับเหตุยิงขาแล้วไม่อยู่ถึงขั้นยิงถึงปอดถึงซี่โครงเลยหรือ เขาผ่าตัดใหม่ๆ ไม่มีแรงขนาดนั้น ทำไม รปภ.20 คนเอาไม่อยู่ ถึงขนาดให้เขาต้องได้ไปเอาอาวุธขวานได้ แล้วยุทธวิธีตำรวจไม่มีทำเบากว่านี้หรือ ที่ว่าไม่ใช้ปืนจริงกระสุนจริง แต่นี้ใช้ถึงขั้นใช้กระสุนจริงจนต้องเสียชีวิต อยากทราบความกระจ่างในเรื่องนี้และขอเรียกร้องความเป็นธรรมด้วย

คำชี้แจงจากตำรวจ

ล่าสุดช่วงบ่าย เวลา 14.00 น.ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุม สภ.เมืองสุรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์  พล.ต.ต.สุคนธ์ ศรีอรุณ. ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ พร้อมด้วยรองผู้บังคับการฯ ได้เรียก พ.ต.อ.วีระพันธ์ ณ ลำปาง ผกก.สภ.เมืองสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมกับนายแพทย์ชวมัย สืบนุการณ์ ผอ.โรงพยาบาลสุรินทร์ และเจ้าหน้าที่บุคลากรของโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องและอยู่ในเหตุการณ์ เข้าประชุมเพื่อสอบสวนและตรวจสอบรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย การประชุมใช้เวลาถึง 16.00 น.จากนั้นจึงได้ให้ทุกฝ่ายให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน ที่มารอทำข่าว

พล.ต.ต.สุคนธ์ ศรีอรุณ. ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ กล่าวว่า หลังได้รับแจ้งเหตุร้อยเวร 20 พร้อมด้วยสายตรวจ 2 สาย เข้าไปยังที่เกิดเหตุที่โรงพยาบาลสุรินทร์ โดยสายตรวจสาย 2 ได้ไปยังอาคาร 9  ส่วน 20 พร้อมพลขับได้ไปยังอาคาร 11 ชั้น 1 ตึกจิตเวช  โดยที่ชั้น 9 เจ้าหน้าที่พบผู้ก่อเหตุอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งอาละวาด ในมือมีขวาน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ผจญเพลิง ซึ่งติดตั้งไว้ที่ติดตั้งไว้ที่โรงพยาบาล โดยถืออาวุธที่มือด้านขวา มือด้านซ้ายถือเสาสายน้ำเกลือ สายตรวจทั้ง 2 นายก็ได้ดำเนินการตามยุทธวิธีที่ได้รับการฝึกฝนมา โดยได้มีการเจรจาให้ผู้ก่อเหตุลดและวางอาวุธ เพื่อจะให้อยู่ในภาวะที่ควบคุมได้

ปรากฎว่าการเจรจาไม่เป็นผล ผู้ก่อเหตุยังอยู่ในอาการที่คลุ้มคลั่งไม่รับฟังและได้ตรงเข้ามาหาสายตรวจทั้ง 2 นาย ซึ่งจริงๆ แล้วมีสายตรวจยืนแบ็คอัพอยู่ข้างหลังอีก 2 นาย และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและหัวหน้าตึกอยู่ที่ด้านหลังอีกประมาณ 20 นาย โดยผู้ก่อเหตุได้ตรงเข้ามาหาสายตรวจแล้วจะใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงถอยแล้วก็ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงลงพื้นก่อน 1 นัด เพื่อที่จะให้ชายที่คลุ้มคลั่งอาละวาดหยุดและลดอาวุธตามที่สั่ง แต่ปรากฏว่าผู้คลุ้มคลั่งก็ยังไม่หยุด จึงได้ตัดสินใจยิงเข้าไปที่บริเวณขาก่อนแล้วไล่มาโดนแขน สุดท้ายก็มาโดนที่ลำตัวแล้วก็ล้มลง จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมและช่วยปฐมพยาบาลในเบื้องต้น ซึ่งขณะนั้นทางหัวหน้าตึกและทีมแพทย์พยาบาลก็เร่งเข้าช่วยเหลือ แต่ผู้ก่อเหตุก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา

สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าระงับเหตุ ผู้ก่อเหตุคลุ้มคลั่งจนตำรวจจำเป็นจะต้องใช้อาวุธประจำกายในการที่จะระงับยับยั้งภัยอันตราย ซึ่งอาจะทำให้ตัวเองเกิดความอันตรายถึงชีวิต เพราะขวานนั้นเป็นขวานขนาดใหญ่ ก่อนหน้านั้นผู้ก่อเหตุพยายามเข้าไปทำร้ายร่างกายคนป่วย ซึ่งในนั้นมีผู้ป่วยอยู่จำนวนมาก แล้วยังเป็นผู้ป่วยที่สูงอายุมากถึง 80 ปี และผู้ป่วยติดเตียง

คำชี้แจงจาก ผอ.โรงพยาบาล

 นายแพทย์ชวมัย สืบนุการณ์ ผอ.โรงพยาบาลสุรินทร์ กล่าวว่า  เรื่องที่เกิดขึ้นทางกระทรวงสาธารณสุข โดยปลัดกระทรวงและผู้บริหาร รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งเสียใจต่อผู้สูญเสียด้วย รวมทั้งผู้ทำหน้าและปฏิบัติทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและบุคลากรของโรงพยาบาลสุรินทร์ ซึ่งเคสที่มีปัญหาคือที่เกิดเหตุที่อาคาร 9 โดยเป็นเคสที่ส่งต่อมาจากโรงพยาบาลอำเภอจอมพระด้วยอาการไส้ติ่งอักเสบ เป็นผู้ป่วยที่มีรูปร่างสูงใหญ่  แล้วให้พักที่อาคารศูนย์รวมก่อน โดยก่อนหน้านั้นเราทราบว่าผู้ป่วยมีประวัติติดสุรา โดยการผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบร้อย จนกระทั่งวันที่ 3 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา เริ่มให้กินอาหารได้ คนไข้รู้สึกตัวดี กระทั่งช่วงเที่ยงได้รับรายงานว่าผู้ป่วยเริ่มมีอาการสับสน พูดไม่รู้เรื่อง เราได้มีการดูและเฝ้าระวังผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด

ต่อมามีการย้ายผู้ป่วยมาอยู่ข้างๆเคาร์เตอร์พยาบาลที่อยู่ด้านหน้า เพื่อดูแลให้การรักษาผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันได้มีการให้ยาจากทีมแพทย์ระงับอาการ เพื่อให้ผู้ป่วยสงบลง แต่หลังจากรับยาอาการผู้ป่วยก็ยังไม่สงบลง จนกระทั่งผู้ป่วยได้ลุกขึ้นแล้วตึงสายน้ำเกลือออกแล้วคว้าเสาน้ำเกลือเดินออกไปเพื่อที่จะทำร้ายบุคลากรและคนไข้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียมการไว้แล้ว ได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกไปอยู่ในที่ปลอดภัย ภายในอาคาร พร้อมทั้งแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประมาณ 20 นาย มาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ในส่วนของความเสียหายที่เกิดขึ้น มีอุปกรณ์ทางการแพทย์และตัวอาคารเสียหายหลายรายการ เช่นเครื่องมือแพทย์ เครื่องตรวจคลื่นหัวใจ อุปกรณ์ถังดับเพลิง ที่สำคัญเราเกือบจะเสียคนไข้ที่ใส่ท่อช่วยหายใจ ดีที่เขาไม่ทำ หลังเกิดเหตุการณ์ขึ้นเราไม่ได้ลังเลที่จะดูแลผู้เสียชีวิตเลย เรามีทีมแพทย์ที่อยู่โดยรอบกั้นพื้นที่ให้มีการรักษาอย่างทันท่วงทีได้มีการช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากผู้ป่วยเสียเลือดมาก ซึ่งเราได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่แต่ก็เกิดความสูญเสีย  ยืนยันเราได้ทำตามแนวทางที่ได้กำหนดอย่างเต็มที่แล้ว

ประเด็นกล้องวงจรปิด

ส่วนที่ทางญาติส่วนที่ทางญาติร้องขอดูกล้องวงจรปิดนั้น ผู้การตำรวจบอกว่า ในส่วนของโรงพยาบาลจะให้ทางโรงพยาบาลเป็นผู้ตอบ แต่ในส่วนของตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น เรามีแต่อันนี้เป็นวัตถุพยานของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งอยู่ในขั้นขบวนการของการสอบสวน ซึ่งมีส่วนได้เสียของทุกฝ่ายตรงนี้คงเปิดเผยไม่ได้เพราะเป็นวัตถุพยานสำคัญของการสอบสวนแต่เรามีแน่นอน

ขณะที่ ผอ.โรงพยาบาลสุรินทร์ ตอบเรื่องนี้ว่า ต้องเรียนกับน้องสื่อมวลชนตามจริงว่ากล้องอยู่ระหว่างของการจะเปลี่ยนจึงไม่สามารถที่จะใช้การได้  ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใดที่ผ่านมาเราก็เปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ ตรงจุดนี้ก็เลยยังใช้ไม่ได้ ซึ่งเป็นความสัตย์จริงไม่ใช่เป็นข้อแก้ตัวใดๆ แต่อย่างไรก็ตามยิ่งกว่ากล้องวงจรปิดคือเรามีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่เป็นประจักษ์พยานได้และมีคนไข้ ญาติคนไข้อีกหลายคนที่เค้าเห็นสามารถเป็นประจักษ์พยานได้

และในส่วนของการดูแลเยียวยาเย็นวันนี้ทางทีมผู้บริหารโรงพยาบาลก็จะเข้าไปเพื่อไปแสดงมุทิตาจิตเพราะเราไม่อยากให้ใครสูญเสีย เราทำโดยหลักของเมตตาธรรมของความเป็นมนุษย์ และทางรัฐมนตรีว่าการฯ ก็ได้สั่งการมาแล้วให้นำพวงหรีดไปร่วมแสดงความเสียใจ ท่านปลัดกระทรวงก็นำหรีดแสดงความเสียใจด้วย วันนี้ตอนเย็นเราจะเข้าไปและวันพรุ่งนี้เป็นวันฌาปนกิจก็จะไปร่วมงานด้วย

ในส่วนของการเยียวยาจริงๆ แล้วเรื่องนี้โรงพยาบาลในฐานะที่เป็นสถานบริการเราได้ช่วยดูแลเยียวยาจิตใจทั้งส่วนของทางญาติก็คือคุณแม่แล้วก็ทางญาติพี่น้องอย่างเต็มที่ เราให้การดูแลตามหลักและในส่วนของการเยียวยาท่านต้องมองถึงสามมิติด้วย มิติคนของตนก็คือเจ้าหน้าที่ มิติของผู้ป่วยและญาติที่อยู่ตรงนี้ด้วย ณ ตอนนี้ตนได้ดำเนินการแล้ว

คำให้การจากพยาบาลในเหตุการณ์

ด้านหัวหน้าเวรห้องพยาบาลที่อยู่ในเหตุการณ์ เผยว่า ตอนนั้นคนไข้ให้น้ำเกลืออยู่แต่มีปัญหาน้ำเกลือตันพยาบาลก็เข้าไปประเมินและดึงสายน้ำเกลือออกเพื่อแทงน้ำเกลือใหม่ตอนนั้นคนไข้มีอาการคือมือสั่น จากนั้นก็ประเมินและพิจารณาย้ายเตียงมาหน้าเคาน์เตอร์พยาบาลหลังจากให้น้ำเกลือและย้ายคนไข้มาหน้าห้องพยาบาลเสร็จ ผู้ป่วยก็กระชากสายน้ำเกลือที่เพิ่งแทงใหม่ออกโดยไม่มีการพูดคุยอะไร เสร็จแล้วก็เขวี้ยงไปที่ปลายเตียง แล้วก็เริ่มมีอาการคลุ้มคลั่งแล้วก็กระโดดลงจากเตียง ซึ่งพยาบาลพยายามเข้าไปใกล้ๆ เพื่อบอกให้เขาใจเย็นๆ แต่เขาก็คว้าเก้าอี้แล้วก็โยนใส่ และใช้เสาน้ำเกลือใช้เป็นอาวุธ ซึ่งผู้ป่วยก็เป็นคนตัวใหญ่สูง เจ้าหน้าที่ตอนนั้นก็มีแต่ผู้หญิง จากนั้นก็ได้ยินเสียงกระจกแตก หลังจากนั้นก็กลับมาพร้อมอาวุธขวาน

ด้านหัวหน้าวอร์ดพยาบาล รพ.สุรินทร์เผยว่า หลังจากทราบเรื่องจากน้องก็ได้รายงานตามลำดับขั้นตอนและย้ายคนไข้ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ไปในห้องที่ปลอดภัยซึ่งมีทั้งหมดสามห้องแต่มีคนไข้อยู่สามคนที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อยู่หน้าเคาน์เตอร์พยาบาลเป็นคนไข้ติดเตียง ส่วนคนไข้ที่เคลื่อนย้ายได้ก็ไปหลบอยู่ทั้งสามห้อง หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงทุบกระจกและเสียงบิดลูกบิดประตูแต่ก็เข้ามาไม่ได้ เหตุการณ์นี้ตนในฐานะที่เป็นหัวหน้าถึงแม้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่หลังจากที่เหตุการณ์สงบตนก็ได้มาคุยกับน้องพยาบาล เค้าก็เล่าให้ฟังว่าในช่วงที่เค้าอยู่ในห้องน้ำเค้าก็กอดคนไข้ กอดกันร้องไห้ สมมุติว่าผู้ป่วยที่คลั่งเข้าไปได้อะไรจะเกิดขึ้น ตอนนั้นน้องจะโทรหาตนตลอดตอนที่อยู่ในห้องน้ำ ฟังจากน้ำเสียงแล้วรู้เลยว่าเค้าตกใจเค้าบอกว่าเป็นนาทีวิกฤตินาทีชีวิตของเขาในขณะนั้น และน้องพยาบาลคนนี้ก็กำลังตั้งครรภ์ด้วย

ทั้งนี้ตำรวจได้ตั้งไว้ 3 สำนวน ทั้งสำนวนชันสูตรพลิกศพ สำนวนคดีวิสามัญฆาตรกรรม และผู้ต้องหา ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยิงด้วย ก็ต้องตกเป็นผู้ต้องหาตามกฎหมายข้อหาฆ่าผู้อื่น โดยอ้างว่าปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องรายงานคดีต้องมีการสอบสวน ดังนั้นความเป็นธรรมต้องดำเนินการอยู่แล้ว รวมไปถึงผู้เสียชีวิตก็จะเป็นผู้ต้องหาด้วย โดยเฉพาะอาวุธปืนที่ก่อเหตุก็ได้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนแล้วโดยคณะพนักงานสอบสวน ซึ่งตำรวจภูธรจังหวัดได้ตั้งขึ้นมา

Read Entire Article