พิษพายุถล่มสหรัฐฯ ดับแล้วสอง นับแสนไร้ไฟฟ้าใช้ตั้งแต่อังคาร

1 month ago 20
❤️ ARTICLE AD BOX ❤️

ปรากฏการณ์พายุ ‘บอมบ์ไซโคลน’ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างขณะเคลื่อนผ่านทางเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียในวันศุกร์ ขณะที่หลายพื้นที่หวังว่าฝนและหิมะจะมาช่วยยับยั้งไฟป่าและภัยแล้ง ตามการรายงานของเอพี

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติระบุว่าพื้นที่ตะวันออกของรัฐวอชิงตัน โอเรกอนและไอดาโฮเผชิญกับหิมะที่ตกหนัก ในขณะที่ทางใต้ของโอเรกอนและตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียมีฝนปานกลางในช่วงเช้าวันศุกร์

ที่รัฐวอชิงตัน ประชาชนมากกว่า 185,000 คน ส่วนมากอยู่ในพื้นที่นครซีแอตเติล ไม่มีไฟฟ้าใช้มาตั้งแต่วันอังคาร สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่กำลังนำเสาไฟฟ้า ต้นไม้และเศษซากปรักหักพังออกจากพื้นถนน และคาดว่าไฟฟ้าจะไม่ทำงานไปจนถึงวันเสาร์

ขณะเดียวกัน รัฐนิวเจอร์ซีย์และนิวยอร์กที่อยู่ฝั่งตะวันออกของประเทศ รอคอยฝนจากพายุด้วยความหวังว่าจะมาช่วยยับยั้งและบรรเทาสถานการณ์ไฟป่าที่ดำเนินอยู่และมีความเสี่ยงที่จะเกิดไปจนถึงสิ้นปี

ไบรอัน กรีนแบลตต์ นักอุตุนิยมวิทยาจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ รัฐนิวยอร์ก กล่าวด้วยว่าน้ำฝนและหิมะจะช่วยบรรเทาภาวะแห้งแล้งที่รุนแรงเป็นพิเศษในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้

รัฐเพนซิลเวเนียที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ รายงานว่ามีหิมะตกอย่างหนักจนต้องปิดโรงเรียนหลายแห่ง และมีประชาชนมากกว่า 100,000 คนไม่มีไฟฟ้าใช้

พายุรุนแรงที่ขึ้นฝั่งสหรัฐฯ ครั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่นักอุตุนิยมวิทยาเรียกว่าบอมโบเจเนซิส (bombogenesis) หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่า บอมบ์ไซโคลน หมายถึงภาวะที่ความรุนแรงของพายุไซโคลนเพิ่มขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว

ที่รัฐวอชิงตันมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยสองคนจากพายุลูกนี้ ในขณะที่เจ้าหน้าที่เมืองอิซซาควาห์ในรัฐแห่งนี้ บอกว่าอยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980 แต่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

เจ้าหน้าที่ด้านสภาพอากาศกล่าวว่ายังมีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมฉับพลันและหินถล่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาที่ได้รับความเสียหายจากไฟป่า

ทางหลวงระหว่างรัฐหมายเลข 5 ที่รัฐแคลิฟอร์เนียถูกจำกัดจำนวนผู้ใช้ถนนสืบเนื่องจากหิมะตก นอกจากนั้นยังมีการยกเลิกเที่ยวบินกว่า 50 เที่ยว และเลื่อนการเดินทางอีกมากกว่า 200 เที่ยวในท่าอากาศยานนานาชาติซานฟรานซิสโก อ้างอิงจากบริการตรวจสอบการบินไฟลท์อแวร์

  • ที่มา: เอพี

กระดานความเห็น

Please enable JavaScript to view the comments powered by Disqus.
Read Entire Article