วิเคราะห์ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อินเดียภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0

2 weeks ago 21
❤️ ARTICLE AD BOX ❤️

ชาวอินเดียจำนวนมากคาดว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของตนกับรัฐบาลกรุงวอชิงตัน จะยังคงมีความใกล้ชิด หลังการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ในเดือนมกราคมปีหน้า เพราะทั้งสองประเทศมีความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์กันอย่างเหนียวแน่น

ประเด็นที่สำคัญ ซึ่งทำให้ชาวอินเดียมีทัศนคติเชิงบวกต่อรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ มาจากการที่ทรัมป์แสดงท่าทีและเคยใช้นโยบายที่เเข็งกร้าวต่อจีน

และในขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าอินเดียยังเป็นประเทศที่สามารถช่วยถ่วงดุลจีนในภูมิภาคอินโดเเปซิฟิกด้วย

ฮาร์ช แพนต์ รองประธานหน่วยการศึกษานโยบายต่างประเทศของ Observer Research Foundation กล่าวว่า ได้เห็นตัวอย่างในช่วงรัฐบาลทรัมป์สมัยเเรก ที่คนสนใจอินเดียในบริบทของการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน

เขาบอกว่า จากนี้อาจเกิดแนวทางใหม่ ๆ สำหรับความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ด้วย โดยบริบทใหม่นี้ อาจจะมีรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คือ สว. มาร์โค รูบิโอ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากทรัมป์ให้เป็นเจ้ากระทรวงดังกล่าว โดยสว.ผู้นี้มีประวัติสนับสนุนโยบายที่เเข็งขันกับรัฐบาลกรุงปักกิ่ง

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่า อินเดียส่งสัญญาณถึงความรู้สึกที่มั่นคง เมื่อทรัมป์จะขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ในขณะที่หลายประเทศรู้สึกกังวล

สุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย กล่าวที่ออสเตรเลียว่า "ผมขอย้ำเตือนว่า กลุ่มความร่วมมือจตุภาคีได้รับการฟื้นฟูมาเเล้วในสมัยรัฐบาลทรัมป์"

กลุ่มดังกล่าวภายใต้ชื่อ Quad ประกอบด้วยสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลียและอินเดีย

ศาสตราจารย์ สวารัน ซิงห์ แห่งมหาวิทยาลัย จาวาฮาร์ลาล เนห์รู กล่าวว่าในช่วงรัฐบาลทรัมปสมัยเเรก งานที่เกี่ยวกับความมั่นคง และการวิจัยพัฒนาของอินเดียเติบโตแบบก้าวกระโดด

อินเดียหวังว่าทรัมป์จะผ่อนเพลามาตรการต่อรัสเซียและผลักดันให้สงครามในยูเครนจบลง ซึ่งจะช่วยทำให้อินเดียสามารถบริหารความสัมพันธ์กับสหรัฐฯและรัสเซียได้ง่ายขึ้น เธอกล่าว

ที่ผ่านมา อินเดียมองข้ามาตรการลงโทษของสหรัฐฯ ต่อรัสเซีย โดยทางการนิวเดลียังคงสานสัมพันธ์ทางการค้ากับมอสโก

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกรุงนิวเดลีเตรียมรับมือกับเเรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐฯ เช่นกันภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0

นโยบายของทรัมป์อาจนำไปสู่การกดดันให้อินเดียลดภาษีนำเข้าสินค้าอเมริกัน

ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้นี้ยังได้เคยเรียกอินเดียว่า เป็น "ผู้ละเมิดรายใหญ่" ด้านภาษี และได้ถอดถอนสถานะพิเศษทางการค้าของอินเดีย

ชินตามณี มหาพัตรา แห่ง Kalinga Institute of Indo Pacific Studies กล่าวว่า สหรัฐฯและอินเดียน่าจะต้องเจรจาเเลกเปลี่ยนกัน เพื่อให้เกิดการประนีประนอมกัน

อีกเรื่องหนึ่งที่อินเดียน่าจะเจอเเรงต้านจากรัฐบาลทรัมป์ 2.0 คือ แผนที่รัฐบาลนิวเดลีอยากผลักดันให้ประเทศของตนได้รับเงินลงทุนจากบริษัทด้านกลาโหมสหรัฐฯ ที่มาตั้งโรงงานในอินเดีย โดยฝ่ายอินเดียหวังว่า จะเกิดการร่วมผลิตอุปกรณ์กลาโหมที่ส่งออกไปขายยังสหรัฐฯ

ฮาร์ช แพนต์จาก Observer Research Foundation กล่าวว่า โครงการดังกล่าวภายใต้คำขวัญ Made in India อาจจะขัดเเย้งกับ Make America Great Again ของทรัมป์ ที่ต้องการให้เพิ่มการผลิตสินค้าในสหรัฐฯ

ดูเหมือนว่านายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีและว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ต่างมีบุคลิกเข้ากันได้ดี แม้ว่าท่าทีของทรัมป์ในอนาคตอาจเป็นสิ่งที่คาดเดายาก

ชินตามณี มหาพัตรา แห่ง Kalinga Institute กล่าวว่า "เคมีของผู้นำทางการเมืองทั้งสองจะเป็นกุญแจสู่ความสมพันธ์ที่มั่งคง ต่อการจัดการกับความเเตกต่าง และทำให้ความสัมพันธ์ดียิ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง"

  • ที่มา: วีโอเอ

กระดานความเห็น

Please enable JavaScript to view the comments powered by Disqus.
Read Entire Article