หมอเล่าประสบการณ์ น้ำหนักขึ้น 10 โล ใน 1 ปี เกือบขิตเพราะภาวะหัวใจขาดเลือด หลังรอดมาได้ เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน จนลดได้ 20 โล
เว็บไซต์ HK01 เผยเรื่องราวของ เฉิน เว่ยหลง แพทย์ชาวไต้หวัน ที่ต้องทำงานหนักและเรียนปริญญาเอกพร้อมกัน ส่งผลให้เขานอนดึกและกินอาหารไม่เป็นเวลา จนทำให้น้ำหนักขึ้นเกือบ 10 กิโลกรัม ใน 1 ปี และเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด
โชคดีที่เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลทันเวลา แต่เขาต้องพักรักษาตัวในห้องไอซียูเป็นเวลา 1 สัปดาห์ จนรอดชีวิตมาได้ ซึ่งนั่นเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เข้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จนสามารถลดน้ำหนักได้ 20 กิโลกรัม
เฉิน เว่ยหลง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนักจากไต้หวัน เคยเป็นแพทย์ฉุกเฉินประจำโรงพยาบาลใหญ่ที่ต้องทำงานหนักและเผชิญกับความเครียดสูงในระยะยาว ส่งผลให้เขามีปัญหาสุขภาพจากโรคเรื้อรัง เมื่ออายุ 35 ปี เขาเริ่มประสบกับโรคเกาต์ มีระดับกรดยูริกสูง และระดับน้ำตาลในเลือดก็เริ่มสูงขึ้น โดยน้ำหนักของเขาก็พุ่งสูงถึง 80 กิโลกรัม
ควบคุมไม่อยู่ น้ำหนักเพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม ใน 1 ปี
เขาหัวเราะและเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เด็กเขาชอบกินขนมหวานและเค้ก จึงไม่ค่อยสนใจเรื่องน้ำหนักจนมันเริ่มเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเข้าสมัย ม.ปลาย เพื่อเข้าสังคมและจีบสาว เขาก็เริ่มใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์และลดน้ำหนักลงไป 20 กิโลกรัม ในระยะเวลาเพียงครึ่งปี
แต่หลังจากเรียนจบจากคณะแพทย์และเริ่มทำงานในโรงพยาบาล ความเครียดและการทำงานเป็นกะ ทำให้เขามีชีวิตที่ไม่เป็นระเบียบ โดยเฉพาะหลังเลิกงานที่มักจะไปดื่มกับเพื่อนหรือกินอาหารเย็นดึกๆ จึงทำให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายกลับไปที่ 82 กิโลกรัม เมื่อถึงเวลาที่ต้องถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง เขาก็พบว่าเขาใส่กางเกงสูทไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจเริ่มลดน้ำหนักอีกครั้ง
หลังแต่งงานมีลูก ก็เริ่มควบคุมปากไม่ได้อีก
เฉิน เว่ยหลง ยอมรับว่า หลังจากแต่งงานและได้เป็นหมอในโรงพยาบาล รวมถึงกลับไปเรียนปริญญาเอกอีกครั้ง ภายใต้ความกดดันจากหลายด้าน น้ำหนักของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่เพียงแค่น้ำหนักที่พุ่งสูง แต่กรดยูริกและระดับน้ำตาลในเลือดก็เริ่มสูงขึ้นเช่นกัน จนทำให้เขาเริ่มมีอาการโรคเกาต์เมื่ออายุเพียง 35 ปี
วันหนึ่งเขาเกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอกและปวดร้าวในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นอาการของหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และต้องถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน เขาต้องพักรักษาตัวในห้องไอซียูเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะย้ายไปห้องผู้ป่วยทั่วไปเพื่อสังเกตอาการต่อไป
การเผชิญกับอันตรายถึงชีวิต ทำให้เขาตระหนักถึงผลกระทบของการกินต่อสุขภาพ และเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน จากที่เคยทานขนมปังในมื้อเช้า และมื้อกลางวันและเย็นต้องมีแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตขัดขาวจำนวนมาก
ใช้เวลา 4 ปี ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จนลดได้ 20 กิโลกรัม
เขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นการกินอาหารแบบคาร์โบไฮเดรตต่ำ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เขาได้ปรับมาใช้แนวทางการกินอาหาร โดยงดการกินแป้งขัดขาว และประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักไปได้ถึง 20 กิโลกรัม
การกินอาหารแบบคาร์โบไฮเดรตต่ำ คือการลดปริมาณการกินคาร์โบไฮเดรตในแต่ละวันให้เหลือประมาณ 10-20% ของปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ควรบริโภคในแต่ละวัน ซึ่งหมายถึงการกินคาร์โบไฮเดรตเพียง 50-150 กรัมต่อวัน ในขณะเดียวกันก็จะเพิ่มการบริโภคโปรตีน ไขมัน และไฟเบอร์ให้มากขึ้น
เมื่อใช้วิธีการกินอาหารแบบคาร์โบไฮเดรตต่ำ ควรใส่ใจเลือกโปรตีนที่มีคุณภาพ เช่น ไข่, นม, ผลิตภัณฑ์จากถั่ว, และเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน รวมถึงการกินไขมันที่ดีต่อร่างกาย เช่น น้ำมันมะกอกและถั่วต่างๆ หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป และควรกินผักที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำให้เพียงพอ พร้อมดื่มน้ำให้มากขึ้น
เฉิน เว่ยหลง แชร์ว่า เมื่อกินอาหารกลางวัน เขาจะเลือกกินผักและไก่อกเป็นหลัก โดยลดหรือแม้กระทั่งไม่กินข้าวเลย และในมื้อเย็น หากมีการตรวจผู้ป่วย เขาจะขอให้ภรรยาจัดเตรียมไก่อกและข้าวกล่องมังสวิรัติจากโรงพยาบาล เพื่อเสริมผักใบเขียวและโปรตีนให้ครบถ้วน
ที่บ้านเขาจะเน้นการกินอาหารตามหลักการของอาหารเมดิเตอร์เรเนียน เช่น สลัดผักสดราดน้ำมันมะกอก พร้อมกับการรับประทานโปรตีนคุณภาพสูงจากไก่อกและปลา เขาหัวเราะและพูดว่า "ตอนนี้ข้าวถุงเล็กๆ ที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ต ครอบครัวเรา 4 คน ยังกินไม่หมดใน 1 เดือนเลย!"
ไม่เพียงแค่ในมื้อหลัก เขายังกล่าวว่า ก่อนหน้านี้เมื่อไปเดทกับภรรยาที่ร้านกาแฟ พวกเขามักจะสั่งเครื่องดื่มร้อนขนาดใหญ่ที่เป็นช็อกโกแลตร้อน แต่หลังจากที่เขาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เขาเปลี่ยนเป็นการดื่มน้ำเต้าหู้ไม่มีน้ำตาลแทน และบางครั้งถ้าอยากปล่อยตัวก็จะสั่งคาปูชิโน่ที่มีน้ำตาลน้อย
เขากล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่รู้เลยว่าเครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อนขนาดใหญ่หนึ่งแก้วมีน้ำตาลถึง 80 กรัม เทียบเท่ากับน้ำตาล 16 ก้อน และเขามักจะดื่มถึงสัปดาห์ละ 4 แก้วหรือมากกว่า หลังจากประสบกับโรคร้าย เขาจึงเริ่มศึกษาส่วนประกอบของอาหารอย่างจริงจัง
พร้อมย้ำว่า การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ แต่การหาวิธีที่ถูกต้องนั้นสำคัญยิ่งกว่า การหาสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักไม่สามารถควบคุมได้ และปรับปรุงทั้งการออกกำลังกาย, การกินอาหาร, และการมีระเบียบวินัยในชีวิต จึงจะสามารถลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดีและไม่กลับมาอ้วนได้