อิสราเอลเผย มีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงกับเฮซบอลลาห์

3 weeks ago 140
❤️ ARTICLE AD BOX ❤️

อิสราเอลสั่งรถถังยิงโจมตีเข้าใส่พื้นที่ 6 แห่งทางใต้ของเลบานอนในวันพฤหัสบดี พร้อมระบุว่า มีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มเฮซบอลลาห์ที่เพิ่งบังคับใช้เมื่อวันพุธ

อิสราเอลอ้างว่า ได้ดำเนินการดังกล่าว หลังพบผู้ต้องสงสัยพร้อมยานพาหนะเคลื่อนเข้ามายังพื้นที่หลายจุดในบริเวณภาคใต้ของเลบานอน

ข้อตกลงหยุดยิงที่สหรัฐฯ และฝรั่งเศสร่วมกันเป็นตัวกลางช่วยเจรจานี้มุ่งหวังที่จะเปิดทางให้ประชาชนทั้งฝั่งอิสราเอลและเลบานอนเดินทางกลับสู่บ้านเรือนของตนตามแนวชายแดน หลังความขัดแย้งรอบใหม่นำมาซึ่งการยิงต่อสู้ข้ามพรมแดนมาเป็นเวลาถึง 14 เดือน

กองทัพอิสราเอลได้ร้องขอให้ชาวบ้านในเมืองที่ตั้งอยู่ตามชายแดนอย่าเพิ่งเดินทางกลับมายังบ้านของตนเพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย

สื่อรัฐบาลและแหล่งข่าวด้านความมั่นคงของเลบานอนรายงานว่า ในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น รถถังของอิสราเอลได้ยิงเข้ามาตามแนวชายแดนของเลบานอน และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 2 ราย

รายงานข่าวระบุว่า ชาวเลบานอนที่พลัดถิ่นมาจากบ้านเรือนของตนที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนภาคใต้ของประเทศพยายามเดินทางกลับมาตรวจสอบสภาพทรัพย์สินของตน แต่กองทหารอิสราเอลก็ยังตรึงกำลังอยู่ในอาณาเขตของเลบานอนต่อไป และผู้สื่อข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ได้ยิงเสียงโดรนสังเกตการณ์บินตรวจตราในบริเวณทางใต้ของเลบานอนด้วย

ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงอิสราเอล-เฮซบอลลาห์ กองกำลังเทลอาวีฟมีเวลาไม่เกิน 60 วันในการถอนกำลังของตนออกจากภาคใต้ของเลบานอน โดยทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถดำเนินปฏิบัติการโจมตีกันและกันได้

ขณะที่ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เผยว่า ได้สั่งให้กองทัพให้สกัดชาวบ้านไม่ให้กลับมายังหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดน นาบิห์ เบอร์ริ ประธานรัฐสภาเลบานอน กล่าวเมื่อวันพุธว่า ชาวบ้านทั้งหลายสามารถเดินทางกลับสู่บ้านเรือนได้แล้ว

ในเวลานี้ กลุ่มเฮซบอลลาห์กล่าวว่า นักรบของตน “ยังคงพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ และการโจมตีจากศัตรูชาวอิสราเอล” และว่า กองกำลังของตนจะเฝ้าสังเกตการณ์การถอนทหารของอิสราเอลจากเลบานอน “โดยมือยังค้างอยู่ที่ไกปืนต่อไป”

อย่างไรก็ตาม กลุ่มติดอาวุธนี้อ่อนล้าลงไปมากหลังต้องสูญเสียกำลังพลและเหตุการณ์สังหาร ฮัสซาน นาซราลลาห์ ผู้นำของตนและผู้บัญชาการทหารคนอื่น ๆ โดยอิสราเอล

  • ที่มา: รอยเตอร์

กระดานความเห็น

Please enable JavaScript to view the comments powered by Disqus.
Read Entire Article